แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองโดยขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ซึ่งเป็นการร้องขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 289 แม้จะถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองซึ่งผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (ค) (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. ก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นการฟ้องบังคับจำนองโดยวิธีทั่วไป เพราะทรัพย์จำนองดังกล่าวได้ถูกโจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ไว้แล้ว และแม้โจทก์กับผู้ร้องจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน แต่การที่ผู้ร้องร้องขอรับชำระหนี้จำนอง เป็นการร้องขอเข้ามาตามสิทธิที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ในฐานะที่แตกต่างกัน เมื่อผู้ร้องมิได้ขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 ผู้ร้องจึงไม่จำต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,187,989.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 2,742,954.52 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 7,500 บาท จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 34353 และเลขที่ 34354 ตำบลบึงชำระอ้อ (คลองซอยที่ 8 ฝั่งตะวันออก) อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยเพื่อนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยในคดีนี้กู้ยืมเงินผู้ร้องจำนวน 2,900,000 บาท และจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 34353 และเลขที่ 34354 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการชำระหนี้ ต่อมาจำเลยผิดนัดชำระหนี้ ผู้ร้องจึงได้ยื่นฟ้องจำเลยอย่างเจ้าหนี้สามัญ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้อง แต่จำเลยก็ไม่ได้ชำระหนี้ให้แต่อย่างใด ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองโดยขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ซึ่งเป็นการร้องขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 แม้จะถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นคำฟ้องบังคับจำนองซึ่งผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 (ค) (เดิม) ท้าย ป.วิ.พ. อย่างหนึ่ง ก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นการฟ้องบังคับจำนองโดยวิธีทั่วไป เพราะทรัพย์จำนองดังกล่าวได้ถูกโจทก์ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ไว้แล้ว และแม้โจทก์กับผู้ร้องจะเป็นบุคคลคนเดียวกันก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องร้องขอรับชำระหนี้จำนอง ซึ่งถือเป็นการร้องขอเข้ามาตามสิทธิที่กฎหมายบัญญัติรับรองไว้ในฐานะที่แตกต่างกัน ทั้งผู้ร้องมิได้ขอให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 728 เป็นแต่ขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาชำระหนี้จำนองแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่นเท่านั้น กรณีนี้จึงไม่จำต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อนแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่ได้บอกกล่าวบังคับจำนองถึงจำเลยโดยชอบ หนี้จำนองของผู้ร้องจึงยังมิใช่หนี้จำนองที่อาจบังคับได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องจึงไม่อาจขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองของจำเลยมาชำระหนี้จำนองของผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่นได้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีการไต่สวนจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียว โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่อีก เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 34353 และเลขที่ 34354 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ยืม ภายหลังทำสัญญา จำเลยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยอย่างเจ้าหนี้สามัญ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ร้องขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองดังกล่าว ผู้ร้องจึงมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนี้จำนองของผู้ร้องถึงกำหนดชำระแล้ว และผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองก่อนเอาทรัพย์จำนองนั้นออกขายทอดตลาดกรณีจึงเข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 ที่ผู้ร้องสามารถขอรับชำระหนี้จำนองรายนี้ได้ อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ