คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4562/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความและพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับ อ. และ ว. ได้ที่บ้านเกิดเหตุ อ. และ ว. ให้การรับสารภาพตรงกันกับที่ผู้เสียหายแจ้งความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนและจำเลยที่ 3 ยังให้การต่ออีกว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีลักษณะปัดความรับผิดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อันอาจทำให้น่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมีรายละเอียดสอดคล้องรับกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 2 เองแม้จะให้การปฏิเสธ แต่ก็ยอมรับว่าพวกของจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งรับกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพลักษณะแหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมข้างต้น เมื่อรับฟังประกอบกันแล้วมีเหตุผลเชื่อมโยงสนับสนุนกันเป็นลำดับ จึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 และน่าเชื่อว่าเป็นความจริง
ส่วนที่ผู้เสียหายเบิกความว่า เหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวมาก่อน ทั้งยังไปเบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเพิ่งยกเรื่องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิด น่าเชื่อว่าสืบเนื่องมาจากผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากมารดาจำเลยที่ 1 และจากบิดาจำเลยที่ 2 จนเป็นที่พอใจแล้ว ข้ออ้างดังกล่าวของผู้เสียหายจึงส่อพิรุธ
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่า บันทึกคำให้การของ อ. และ ว. ที่ถูกฟ้องไปก่อนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 เป็นพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีโอกาสถามค้านนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถอ้างและนำสืบ อ. และ ว. เป็นพยานของตนได้ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีเหตุผลให้รับฟัง

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 591/2547 แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 276 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4502/2545 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 อายุ 17 ปีเศษ ไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีกำหนดคนละ 16 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี 8 เดือน คำให้การชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และข้อนำสืบชั้นพิจารณาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละหนึ่งในสาม และลดโทษให้จำเลยที่ 3 กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีกำหนดคนละ 10 ปี 8 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน บวกโทษจำคุก 3 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4502/2545 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 3 เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 5 ปี 7 เดือน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 3 นายสิทธิรัตน์ พลทหารอภิชลและนายวีระบุตรหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายเบิกความในทำนองว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด แต่ปรากฏว่าหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า ถูกชายประมาณหกคนข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และผู้เสียหายได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรได้ที่บ้านที่เกิดเหตุในคืนนั้นซึ่งพันตำรวจตรีสุทินพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ก็เบิกความยืนยันในข้อนี้ และเมื่อพันตำรวจตรีสุทินสอบปากคำพลทหารอภิชลและนายวีระบุตร โดยแจ้งข้อหาว่าร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง พลทหารอภิชลและนายวีระบุตรให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้นซึ่งตรงกันกับที่ผู้เสียหายไปแจ้งความ และนายวีระบุตรยังให้การด้วยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายด้วย ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายก็ให้การถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต่อพันตำรวจตรีสุทินตามบันทึกคำให้การคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้นว่า ขณะผู้เสียหายเดินไปที่ประตูหน้าบ้านที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ใช้มือปิดปาก กอดเอวและพาผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอน จากนั้นผลักผู้เสียหายนอนลงและใช้มือตบหน้าพร้อมข่มขู่ไม่ให้ดิ้น ช่วงนั้นมีคนเข้าช่วยจับมือและถอดกางเกงผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นคนแรก หลังจากนั้นนายสิทธิรัตน์ พลทหารอภิชล จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 และนายวีระบุตรผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยนายวีระบุตรได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องน้ำ เมื่อนายวีระบุตรสำเร็จความใคร่แล้วจำเลยที่ 3 ยังเข้าไปในห้องน้ำข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของนายวีระบุตรตามบันทึกคำให้การคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น บันทึกคำให้การของผู้เสียหายดังกล่าวทำขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นานนัก ในขณะที่ผู้เสียหายยังไม่ทันคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงตามคำให้การของผู้เสียหายยังเป็นเหตุให้พันตำรวจตรีสุทินดำเนินการขอออกหมายจับจำเลยทั้งสาม ต่อมาเมื่อได้ตัวจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็ให้การรับสารภาพต่อพันตำรวจตรีสุทินว่าได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายตามบันทึกคำให้การ ซึ่งบันทึกคำให้การดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะจำเลยที่ 3 ยังให้การอีกว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งคำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ได้มีลักษณะปัดความรับผิดให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อันอาจทำให้น่าระแวงสงสัยแต่อย่างใด คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังกล่าวมีรายละเอียดสอดคล้องรับกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ทำให้บันทึกคำให้การของผู้เสียหายคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนจำเลยที่ 2 เองแม้จะให้การปฏิเสธ แต่ก็ยอมรับว่าพวกของจำเลยที่ 2 ได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายรับกันกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายเช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและของจำเลยที่ 1 และที่ 3 จะเป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะแหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมข้างต้นเมื่อรับฟังประกอบกันแล้วมีเหตุผลเชื่อมโยงสนับสนุนกันเป็นลำดับจึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226/3 และน่าเชื่อว่าเป็นความจริง ที่ผู้เสียหายเบิกความในทำนองว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดและอธิบายถึงเหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงและเหตุดังกล่าวมาก่อนทั้งที่มีโอกาสที่จะกระทำได้และหลังเกิดเหตุประมาณสามเดือน เมื่อผู้เสียหายไปเบิกความเป็นพยานในเรื่องเดียวกันนี้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น ผู้เสียหายยังคงยืนยันว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายเพิ่งยกเรื่องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับยกเหตุที่ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าเป็นเพราะความโกรธขึ้นกล่าวอ้างมีเหตุน่าเชื่อว่าสืบเนื่องจากผู้เสียหายได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากมารดาจำเลยที่ 1 และจากบิดาจำเลยที่ 2 จนเป็นที่พอใจแล้ว ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของผู้เสียหายจึงส่อพิรุธและทำให้คำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอ้างว่าบันทึกคำให้การของพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรเอกสารคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2519/2546 ของศาลชั้นต้น เป็นพยานบอกเล่าซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่มีโอกาสถามค้านนั้น เห็นว่า หากบันทึกคำให้การของพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรดังกล่าวไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถอ้างและนำสืบพลทหารอภิชลและนายวีระบุตรเป็นพยานของตนได้ ข้อที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาอ้างจึงไม่มีเหตุผลให้รับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ฟังประกอบกันแล้วมีน้ำหนัก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 นายสิทธิรัตน์ พลทหารอภิชลและนายวีระบุตร ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของตน เมื่อการข่มขืนกระทำชำเรามีลักษณะเป็นการโทรมหญิง การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง (เดิม)
พิพากษายืน.

Share