คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5336/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ให้โจทก์แก้คดีภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับหมาย ณ บ้านของโจทก์โดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาลโดยชอบแล้ว โจทก์ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายในวันที่ 17 ตุลาคม 2544 แต่โจทก์มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังกล่าวถือว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 และผู้ร้องต้องมีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด โดยนับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2544 ครบกำหนดสิบห้าวันคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เมื่อผู้ร้องไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องเสียจากสารบบความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเครื่องไฟฟ้าและเครื่องใช้สำนักงาน โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่ได้ยื่นคำให้การและผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 วรรคสอง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องเสียจากสารบบความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โดยผู้ร้องฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการไต่สวนคำร้องในวันที่ 10 ตุลาคม 2544 ที่ผิดระเบียบทั้งหมดและนัดไต่สวนคำร้องใหม่วันที่ 27 ธันวาคม 2544 เวลา 9 นาฬิกา ให้ผู้ร้องนำส่งหมายนัดให้โจทก์ จำเลยและเจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย สำหรับหมายนัดที่ส่งให้โจทก์นั้น นอกจากส่งไปตามภูมิลำเนาที่เคยส่งเดิมแล้ว ให้ส่งไปยังภูมิลำเนาของโจทก์ที่บ้านเลขที่ 1/215 ซอยหมู่บ้านสุภาวรรณ ถนนเทพารักษ์ ตำบลบางเมือง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ อีกแห่งหนึ่งด้วย การดำเนินกระบวนพิจารณาจึงต้องเริ่มต้นใหม่เพื่อให้โจทก์แก้คดีอีกครั้ง ซึ่งการส่งหมายนัดดังกล่าวปรากฏตามรายงานการเดินหมายของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2544 ว่า ได้ส่งหมายนัดให้โจทก์ ณ ภูมิลำเนาที่เคยส่งเดิมบ้านเลขที่ 12/25 หมู่ที่ 12 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 โดยวิธีปิดหมายซึ่งครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 12 ธันวาคม 2544 และปรากฏตามรายงานการเดินหมายของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2544 ว่าได้ส่งหมายนัดให้โจทก์ ณ บ้านเลขที่ 1/215 ซอยหมู่บ้านสุภาวรรณ ถนนเทพรักษ์ ตำบลบางเมือง อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 โดยวิธีปิดหมาย ซึ่งครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 15 ธันวาคม 2544 ดังนี้ จะเห็นได้ว่าทั้งสองกรณีก็ยังอยู่ในระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องมีคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีของผู้ร้องเสียจากสารบบความจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 18 กันยายน 2544 ของศาลชั้นต้นได้ความว่า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ให้โจทก์แก้คดีภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับหมาย ณ บ้านเลขที่ 12/25 หมู่ที่ 12 แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ของโจทก์โดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาลโดยชอบแล้ว โจทก์ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายในวันที่ 17 ตุลาคม 2544 แต่โจทก์มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังกล่าว ถือว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 และผู้ร้องต้องมีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลงเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด โดยนับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2544 ครบกำหนดสิบห้าวันคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เมื่อผู้ร้องไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องเสียจากสารบบความตามมาตรา 198 วรรคสอง เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว กรณีหาใช่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีโดยที่ยังอยู่ในระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องมีคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีไม่ เพราะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการไต่สวนคำร้องในวันที่ 10 ตุลาคม 2544 ที่ผิดระเบียบทั้งหมดนั้นหมายความเฉพาะกระบวนพิจารณาที่ศาลได้ทำการไต่สวนคำร้องในวันดังกล่าวเท่านั้นจึงไม่กระทบถึงกระบวนพิจารณาที่ศาลได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนหน้านั้นแต่อย่างใด ส่วนที่ศาลชั้นต้นให้ส่งหมายนัดแก่โจทก์ทั้งสองแห่งนั้นก็เพื่อแจ้งวันนัดไต่สวนคำร้องใหม่ให้โจทก์ทราบนั่นเอง หาใช่กระบวนพิจารณาต้องเริ่มต้นใหม่โดยให้โจทก์ยื่นคำให้การแก้คดีใหม่อีกครั้งหนึ่งดังที่ผู้ร้องฎีกาไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ผู้ร้องฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องใหม่ เป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเพียง 200 บาท แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลมาในชั้นฎีกาทุนทรัพย์ 88,100 บาท จึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่ผู้ร้อง”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share