แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาจะซื้อขาย ระบุว่า ผู้จะขาย (โจทก์) และผู้จะซื้อ (จำเลย) ตกลงซื้อสิทธิและอุปกรณ์พร้อมการทำประกันวินาศภัยในสำนักงานของโจทก์ ซึ่งเปิดเป็นสำนักงานที่ทำการประกันวินาศภัยของบริษัท ท. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาของคู่ความคือโจทก์และจำเลยว่า ประสงค์จะซื้อขายสิทธิในการทำสัญญาประกันวินาศภัยที่โจทก์มีอยู่กับบริษัท ท. และอุปกรณ์ในสำนักงาน แต่เนื่องจากสิทธิในการทำสัญญาประกันภัยหรือสิทธิในการเป็นตัวแทนประกันภัยเป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่สามารถโอนกันได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ที่โจทก์เบิกความในชั้นพิจารณาว่า เป็นสิทธิการเช่านั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ เนื่องจากโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 143,959 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 110,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่ฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้รวม 6,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อปี 2540 โจทก์ได้เช่าอาคารพาณิชย์เลขที่ 68 ถนนเพลินพิทักษ์ ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง เพื่อใช้เป็นสำนักงานตัวแทนประกันภัยของบริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีกำหนด 3 ปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2543 โจทก์ได้ซื้ออุปกรณ์ตกแต่งอาคารใช้เป็นสำนักงานด้วยเงินของโจทก์เอง ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2542 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายสิทธิและอุปกรณ์ พร้อมการทำสัญญาประกันวินาศภัยในสำนักงานของโจทก์ในราคา 210,000 บาท ในวันดังกล่าวจำเลยได้วางเงินมัดจำให้แก่โจทก์ 50,000 บาท และโจทก์จะส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 สำหรับเงินที่เหลือจำเลยได้ออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 สั่งจ่ายเงิน 50,000 บาท และลงวันที่ 1 มีนาคม 2542 สั่งจ่ายเงิน 100,000 บาท วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองอาคารสำนักงานให้แก่จำเลย หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน จำเลยได้นำเงิน 50,000 บาท ไปให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้นำเช็คฉบับหลังไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2544 สำนักงานของโจทก์มีโต๊ะและเก้าอี้อย่างละ 2 ตัว เครื่องปรับอากาศและโทรศัพท์อย่างละ 1 เครื่อง รวมราคาประมาณ 80,000 บาท
มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญาจะซื้อขายอีก 100,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาดังกล่าว ข้อ 1 ระบุว่าผู้จะขาย (โจทก์) และผู้จะซื้อ (จำเลย) ตกลงซื้อสิทธิและอุปกรณ์พร้อมการทำประกันวินาศภัยในสำนักงานของนายกมล (โจทก์) ซึ่งเปิดเป็นสำนักงานที่ทำการประกันวินาศภัยของบริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) จังหวัดตรัง จากข้อความดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงเจตนาของคู่ความคือโจทก์และจำเลยว่า ประสงค์จะซื้อขายสิทธิในการทำสัญญาประกันวินาศภัยที่โจทก์มีอยู่กับบริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และอุปกรณ์ในสำนักงาน แต่เนื่องจากสิทธิในการทำสัญญาประกันภัยหรือสิทธิในการเป็นตัวแทนประกันภัยเป็นสิทธิเฉพาะตัวไม่สามารถโอนกันได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ที่โจทก์เบิกความในชั้นพิจารณาว่า เป็นสิทธิการเช่านั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ เนื่องจากโจทก์มิได้บรรยายฟ้องไว้ อีกทั้งตามสัญญาเช่าตึกแถวระหว่างโจทก์ ผู้เช่า กับนายเว้งซิ้มผู้ให้เช่าก็มิได้มีข้อตกลงให้โอนสิทธิการเช่าหรือให้เช่าช่วงได้ ข้ออ้างของโจทก์จึงขัดต่อข้อเท็จจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ