แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 ซึ่งบทมาตราดังกล่าวแม้จะให้ศาลมีอำนาจที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นให้น้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ก็ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ 8525/2542 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ด้วย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ จำเลยที่ 3 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่ว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10,000 เม็ด เป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนอีก 600 เม็ด ไม่ใช่ของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้ตามฟ้องโจทก์จริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 ความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งมีปริมาณสารบริสุทธิ์เกิน 100 กรัม โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นโทษที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม ลดโทษให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 33 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 25 ปี บวกโทษจำคุก 1 ปี ของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8525/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 26 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งมีปริมาณสารบริสุทธิ์เกิน 100 กรัม ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง (เดิม) ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตลอดชีวิต ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นกระทงหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยังมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 375 มิลลิกรัม แต่ไม่เกิน 20 กรัม ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม, 66 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) อีกกระทงหนึ่ง จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 15 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กระทงละหนึ่งในสามและลดโทษให้จำเลยที่ 3 กระทงละกึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงแรก 33 ปี 4 เดือน กระทงที่สอง 10 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 43 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงแรก 25 ปี กระทงที่สอง 7 ปี 6 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 32 ปี 6 เดือน สำหรับโทษและกำหนดโทษของจำเลยที่ 2 และนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีพันตำรวจโทชูเกียรติและจ่าสิบตำรวจณัฐพลเป็นประจักษ์พยานต่างเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากจับจำเลยที่ 2 พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลาง 10,000 เม็ด แล้ว พันตำรวจโทชูเกียรติสอบถามจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 2 บอกว่าจำเลยที่ 1 ให้นำเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมาส่ง จำเลยที่ 1 อยู่ที่บ้าน (เกิดเหตุ) พันตำรวจโทชูเกียรติขอให้จำเลยที่ 2 พาไปที่บ้านจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 2 ตกลง พันตำรวจโทชูเกียรติใช้โทรศัพท์แจ้งให้เจ้าพนักงานของสำนักงานปราบปรามยาเสพติดที่รออยู่ที่สนามกีฬาการท่าเรือแห่งประเทศไทยตามไปสมทบที่บ้านจำเลยที่ 1 เมื่อพยานทั้งสองกับพวกและจำเลยที่ 2 ไปถึงบ้านจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 1 และที่ 3 อยู่ด้วยกัน จึงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานขอตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง 600 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้า 3 ถุง พันด้วยเทปสีดำแปะไว้ที่ด้านหลังโต๊ะเครื่องแป้งภายในบ้าน จำเลยที่ 1 รับว่าจำเลยที่ 3 นำเมทแอมเฟตามีนทั้งหมดมาขายให้จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 รับว่านำเมทแอมเฟตามีนมาจากชายไม่ทราบชื่อซึ่งพักอยู่บริเวณย่านลาดพร้าว พันตำรวจโทชูเกียรติแจ้งข้อหาจำเลยทั้งสามว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ พยานทั้งสองกับพวกนำจำเลยทั้งสามไปที่กองบังคับการตำรวจน้ำ ทำบันทึกการจับกุมให้จำเลยทั้งสามลงลายมือชื่อ จำเลยทั้งสามยังได้เขียนบันทึกคำรับสารภาพให้พันตำรวจโทชูเกียรติไว้ กับโจทก์มีร้อยตำรวจโทกฤษดาและร้อยตำรวจโทฐานิสรพนักงานสอบสวนต่างเบิกความยืนยันว่าในชั้นสอบสวนพยานทั้งสองแจ้งข้อหาจำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามลำดับว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง จำเลยที่ 1 และที่ 3 ต่างก็ให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจของตนเอง เห็นว่า พันตำรวจโทชูเกียรติ จ่าสิบตำรวจณัฐพล ร้อยตำรวจโทกฤษดา และร้อยตำรวจโทฐานิสร ต่างไม่เคยรู้จักจำเลยทั้งสามมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยทั้งสาม เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสี่เบิกความไปตามความจริง และโจทก์ยังมีบันทึกการจับกุม บัญชีของกลางคดีอาญา บันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ภาพถ่าย และบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา (ของจำเลยที่ 2 และที่ 3) เป็นพยานสนับสนุนโดยเฉพาะบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องไว้ก็มีข้อความระบุทำนองว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้รับโทรศัพท์จากหญิงคนหนึ่งขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 5 มัด (10,000 เม็ด) จำเลยที่ 1 ตกลงขายให้ในราคามัดละ 53,000 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 3 ไปส่งให้แก่ผู้ซื้อที่บริเวณคลองเตยล็อก 1 จำเลยที่ 1 ใช้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบด้วยว่าจะให้จำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีน หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที จำเลยที่ 3 เดินทางมาที่บ้านจำเลยที่ 1 เพื่อรอรับเงินค่าเมทแอมเฟตามีน ต่อมาอีกประมาณ 30 นาที จำเลยที่ 2 นำเจ้าพนักงานตำรวจมาที่บ้านจำเลยที่ 1 เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอีก 3 ถุง ในห้องของบุตรสาวของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 นำไปวางไว้ด้วย ทำให้คำเบิกความของพยานทั้งสี่คนของโจทก์ดังกล่าวน่าเชื่อถือและควรแก่การรับฟังยิ่งขึ้น นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 เองก็ยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านยอมรับด้วยว่าในวันเกิดเหตุที่ถูกจับกุมนั้น จำเลยที่ 2 ได้ยืนยันต่อหน้าจำเลยที่ 1 ว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10,000 เม็ด เป็นของจำเลยที่ 1 และเมทแอมเฟตามีนอีกจำนวน 600 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าค้นพบที่โต๊ะเครื่องแป้งในบ้านจำเลยที่ 1 จึงเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 10,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 มีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 600 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนซึ่งมีสารบริสุทธิ์เกิน 100 กรัม กับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งมีสารบริสุทธิ์เกินกว่า 375 มิลลิกรัม แต่ไม่เกิน 20 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาอีกว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ทำให้เจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมและดำเนินคดีนายสุภาพซึ่งเป็นนักค้ายาเสพติดให้โทษรายใหญ่ได้ ขอให้ศาลฎีกาลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยที่ 1 นั้น มีหนังสือของพันตำรวจเอกบุญเลิศ ผู้กำกับการกลุ่มงานสอบสวน 1 กองบังคับการสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และหนังสือของพันตำรวจเอกทวี รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต่างระบุยืนยันทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้เคยให้ความช่วยเหลือแก่ราชการในการปราบปรามจับกุมนายสุภาพผู้ค้ายาเสพติดใหโทษรายใหญ่ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษจริง ซึ่งโจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 ซึ่งบทมาตราดังกล่าวแม้จะให้ศาลมีอำนาจที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะไม่ลงโทษผู้กระทำความผิดนั้นให้น้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้ก็ได้ สำหรับคดีนี้เมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนมาก ทั้งศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษและลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 มานั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ศาลฎีกายังไม่เห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้น้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้แต่อย่างใด”
พิพากษายืน