แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้สืบสวนข้อเท็จจริงตามหนังสือร้องเรียนของจำเลยที่ 2 ซึ่งร้องเรียนว่าโจทก์ร่วมร่วมกับพวกสร้างหลักฐานเท็จออกโฉนดที่ดินโดยไม่ชอบ จำเลยที่ 1 จึงไปพบและสอบถาม ส. ภริยาของ ม. และ ค. เพื่อให้ ม. และ ค. ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำผิดมาให้มีข้อเท็จจริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาพยานบุคคลมาให้การประกอบการดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วม แม้จำเลยที่ 1 จะพูดว่าหากไม่ได้ความร่วมมือเป็นพยานจะดำเนินคดีแก่ ม. และ ค. ก็ตาม ก็อยู่ในขบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ทั้งการไปเป็นพยานย่อมเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ถึงขั้นรับฟังได้ว่าเป็นการข่มขู่ที่จะทำให้เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำแผนก 2 กองกำกับการ 6 กองปราบปราม กรมตำรวจ และเป็นพนักงานสอบสวนในคดีที่จำเลยที่ 2 ร้องเรียนกล่าวหาว่า นายดิเรกซึ่งเป็นผู้เสียหายคดีนี้ได้ใช้อิทธิพลเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองจันทบุรีในการออกโฉนดที่ดินโดยผิดกฎหมาย จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม ดังนี้
ก. เมื่อระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ได้ใช้วาจาข่มขู่ให้นางสมบุญไปเกลี้ยกล่อมนายมานะเจ้าพนักงานที่ดินให้ยอมเป็นพยานกล่าวหาว่าผู้เสียหายเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองจันทบุรีทุจริตในการออกโฉนดที่ดินถ้าไม่ยอมเป็นพยานจะต้องติดคุก อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายมานะและผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำผิดโดยพาจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านของนางสมบุญและร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้วาจาข่มขู่ให้นางสมบุญไปเกลี้ยกล่อมนายมานะให้เป็นพยานแล้วจำเลยที่ 2 จะช่วยนายมานะให้หนักเป็นเบา ถ้าไม่ยอมเป็นพยานนายมานะจะต้องติดคุก
ข. เมื่อระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ได้ใช้วาจาข่มขู่ให้นางสมบุญไปเกลี้ยกล่อมนายมานะสามีให้เป็นพยานกล่าวหาว่าผู้เสียหายเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองจันทบุรีทุจริตในการออกโฉนดที่ดิน ถ้านายมานะไม่ยอมเป็นพยานจะต้องติดคุกหากยอมจะกัน นายมานะเป็นพยาน อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายมานะและผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดโดยพาจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านของนางสมบุญและร่วมใช้วาจาข่มขู่ให้นางสมบุญไปเกลี้ยกล่อมให้นายมานะเป็นพยานกล่าวหาผู้เสียหาย
ค. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันหมิ่นประมาทใส่ความผู้เสียหายต่อนายอำนวย ตองอ่อน บุคคลที่ 3 ว่า “นายดิเรกเป็นคนมีอิทธิพล ทำหลักฐานเท็จออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของราษฎร ถ้าให้ความร่วมมือจะแบ่งที่ดินคืนให้” “นายดิเรกเคยเป็นนายอำเภอมาแล้ว มีอิทธิพลมากหาช่องทางโกงราษฎรง่าย ขอให้ช่วยให้การปรักปรำด้วย โดยไม่ต้องกลัวอิทธิพลของใครอีก” ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง
ง. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันดูหมิ่นนายคำนึงซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่และหมิ่นประมาทผู้เสียหายและนายคำนึง โดยร่วมกันกล่าววาจาต่อหน้านายคำนึงและบุคคลที่ 3 ว่า “นายคำนึงร่วมกับนายดิเรกสร้างหลักฐานเท็จในการซื้อที่ดินของนายดิเรก” “นายดิเรก อุทัยผล เป็นนายอำเภอเก่ามีอิทธิพลมากใช้อิทธิพลโกงที่ดินราษฎรและเอาชื่อญาติพี่น้องมาใส่ในโฉนดที่ดินด้วย” “เพราะนายดิเรกเคยเป็นนายอำเภอนี่เอง จึงหาวิธีโกงที่ดินของราษฎรได้ง่าย ๆ” ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายและนายคำนึงเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง
จ. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2530 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ได้ใช้วาจาข่มขู่ให้นายคำนึงผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ตำบลบางกะจะ อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ให้ยอมเป็นพยานให้การปรักปรำผู้เสียหายว่าเป็นผู้มีอิทธิพลบังคับเอาที่ดินจากราษฎร หากนายคำนึงยอมร่วมมือด้วยก็จะไม่เอาผิดและจะกันเป็นพยาน หากไม่ให้การดังกล่าวจำเลยที่ 1 จะกลับมาสอบสวนและจับกุมนายคำนึงด้วยอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายคำนึง และผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดโดยพาจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านของนายคำนึงและร่วมใช้วาจาข่มขู่ให้นายคำนึงยอมเป็นพยาน
เหตุตามฟ้องข้อ ก. และ ข. เกิดที่ตำบลท่าช้าง อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี เหตุตามฟ้องข้อ ค. ง. และ จ. เกิดที่ตำบลบางกะจะ อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 157, 326, 83, 86, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายดิเรกผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์โดยอธิบดีอัยการเขต 2 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เรื่องมีข้าราชการตลอดจนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หลายคน รวมทั้งโจทก์ร่วมในคดีนี้ด้วยได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีทับที่ดินของราษฎร จำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจในหน่วยงานที่ได้รับการร้องเรียนดังกล่าวได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น รายละเอียดปรากฏตามหนังสือร้องเรียนของจำเลยที่ 2 และเกษียณคำสั่งท้ายหนังสือดังกล่าวของศาลจังหวัดสงขลา เห็นว่า ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท ที่โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองนั้นเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งความผิดในฐานนี้มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในส่วนของความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และหมิ่นประมาท จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบและถือว่าคดีของโจทก์ร่วมในส่วนดังกล่าวยุติลงในศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิฎีกา แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกาก็ตาม ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมในส่วนของความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท คงเหลือประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาเพียงว่าจำเลยที่ 1 ใช้วาจาข่มขู่นางสมบุญและนายคำนึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาแล้ว จำเลยที่ 1 สอบปากคำจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 1 เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุ ตรวจดูสภาพของที่ดินที่มีการร้องเรียนว่าออกโฉนดโดยไม่ชอบ ตลอดจนตรวจสอบสารบบการออกโฉนดที่ดินจากเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว พบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นป่าละเมาะและน้ำทะเลท่วมถึง อีกทั้งไม่มีการทำประโยชน์ ซึ่งไม่น่าจะออกโฉนดได้ จำเลยที่ 1 จึงเชื่อว่า ข้อร้องเรียนของจำเลยที่ 2 มีมูล ในฐานะพนักงานสืบสวนจึงไปพบและสอบถามนางสมบุญภริยาของนายมานะเจ้าพนักงานที่ดินซึ่งทำหน้าที่ช่างรังวัด และนายคำนึงที่เกี่ยวข้องกับการรับรองการออกโฉนดและถูกจำเลยที่ 2 ร้องเรียนด้วยเพื่อให้นายมานะและนายคำนึงซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำผิดมาให้ข้อเท็จจริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาพยานบุคคลมาให้การประกอบการดำเนินคดีแก่โจทก์ร่วม รวมทั้งรายงานข้อเท็จจริงให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แม้จำเลยที่ 1 จะพูดว่าหากไม่ให้ความร่วมมือเป็นพยานจะดำเนินคดีแก่นายมานะและนายคำนึงก็ตาม ก็อยู่ในขบวนการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ทั้งการไปเป็นพยานในศาลของนายมานะ ย่อมเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนนายคำนึงเองขณะเกิดเหตุทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน ย่อมรู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนเองตามกฎหมายในการให้ปากคำ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ถึงขั้นรับฟังได้ว่าเป็นการข่มขู่ที่จะทำให้เป็นความผิดตามฟ้องแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะส่วนที่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานและหมิ่นประมาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2.