คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2504/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะมีสิทธิใช้สอยตึกพิพาทในฐานะเป็นผู้เช่าตามสัญญาเช่า แต่โจทก์ก็ยังไม่เคยเข้าครอบครองตึกพิพาทตามสัญญาเช่ามาก่อน ที่จำเลยและบริวารอยู่ในตึกพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของ จ. ไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ การที่จำเลยและบริวารยังคงอยู่ในตึกพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการละเมิดต่อเจ้าของตึกหาใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ารายใหม่ไม่ จำเลยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์เนื่องจากโจทก์กับจำเลยต่างไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากตึกพิพาทโดยลำพังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายตั้งแต่วันบอกกล่าวถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,200 บาท แก่โจทก์ และเดือนละ 550 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกพิพาท
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกพิพาทเลขที่ 354 ถนนพานิช ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 2,200 บาท แก่โจทก์ และเดือนละ 550 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากตึกพิพาทกับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ฟ้องว่านางจิตรามารดาของโจทก์เช่าตึกพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และนางจิตราอนุญาตให้จำเลยและบริวารอาศัยอยู่ในตึกพิพาท ต่อมานางจิตราโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์มีฐานะเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยและบริวารอยู่ในตึกพิพาทอีกต่อไป จึงขอให้ออกจากตึกพิพาทแต่จำเลยและบริวารไม่ยอมออก เห็นว่า แม้โจทก์จะมีสิทธิใช้สอยตึกพิพาทในฐานะเป็นผู้เช่าตามสัญญาเช่า แต่โจทก์ก็ยังไม่เคยเข้าครอบครองตึกพิพาทตามสัญญาเช่ามาก่อน ที่จำเลยและบริวารอยู่ในตึกพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของนางจิตรา ไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ การที่จำเลยและบริวารยังคงอยู่ในตึกพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นการละเมิดต่อเจ้าของตึกหาใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ารายใหม่ไม่ จำเลยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์เนื่องจากโจทก์กับจำเลยต่างไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากตึกพิพาทโดยลำพังได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share