คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2130/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาจำเลยโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้จนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง ซึ่งตามบทบัญญัติ ป.อ. มาตรา 279 และคำฟ้องใช้ข้อความเหมือนกันว่า โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดย… อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ส่วนการกระทำอนาจารนั้นหมายความเป็นการกระทำโดยไม่ชอบทางเพศต่อบุคคลอื่น การที่จำเลยนำเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าในอวัยวะเพศของผู้เสียหายซึ่งเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้น ถือเป็นการกระทำอนาจารตามบัญญัติของมาตรา 279 ด้วย ทำให้เห็นว่าการกระทำความผิดตามบทบัญญัติของมาตรา 279 รวมอยู่ในการกระทำความผิดตามบทบัญญัติของมาตรา 277 แต่มีโทษเบากว่า การพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 279 วรรคสอง จึงเป็นการชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย หาใช่เป็นการลงโทษในความผิดที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษและต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2544 เวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำแล้วกระทำชำเราเด็กหญิง อ. ผู้เสียหายอายุ 12 ปีเศษ (ที่ถูกอายุ 11 ปีเศษ) ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และมิใช่ภริยาของจำเลยโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จนจำเลยสำเร็จความใคร่หลายครั้ง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก, 284 วรรคแรก เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคสอง ส่วนโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นบุตรีของ อ. กับ พ. เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2533 ขณะเกิดเหตุเรียนชั้นประถมปีที่ 5 โดยพักอาศัยอยู่กับ ห. ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ส่วน อ. เข้าไปประกอบอาชีพในกรุงเทพมหานคร น. ได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้ อ. ทราบว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา อ. จึงเดินทางกลับไปหาผู้เสียหายและสอบถามเรื่องราวจากผู้เสียหาย อ. ได้ไปพบผู้ใหญ่บ้านแจ้งว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยให้การปฏิเสธ อ. ได้เรียกค่าเสียหายจากจำเลย 50,000 บาท จำเลยต่อรองเหลือ 10,000 บาท แต่ต่อมาจำเลยไม่ชำระ อ. จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีจำเลย ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ
ที่จำเลยฎีกาว่า คำเบิกความของผู้เสียหายมีพิรุธหลายประการนั้น เห็นว่า มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่วินิจฉัยว่า ข้อพิรุธดังกล่าวน่าจะเป็นเพราะผู้เสียหายยังเป็นเด็กและเคารพยำเกรงจำเลย ทั้งยังถูกจำเลยข่มขู่ว่าจะฆ่าผู้เสียหายจึงย่อมจะกลัวจนไม่กล้าขัดขืนหรือร้องเรียกให้ใครเข้าช่วย ดังนั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่จำเลยฎีกาว่า อ. เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับบุตรจำเลยนั้น เห็นว่า ลำพังแต่เพียง อ. มีสาเหตุโกรธเคืองกับบุตรจำเลยก็มิได้เป็นเรื่องร้ายแรง ทั้ง อ. มีเรื่องกับบุตรจำเลย มิได้มีเรื่องกับจำเลย จึงไม่มีเหตุที่จะไปสร้างเรื่องปรักปรำจำเลยซึ่งมีอายุมากถึง 78 ปี แล้วว่ากระทำความผิดในทางเพศต่อผู้เสียหายซึ่งมีอายุยังไม่ครบ 12 ปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่ อ. จะหาเรื่องใส่ร้ายจำเลยโดยไม่เป็นความจริง ส่วนที่จำเลยฎีกา เหตุที่จำเลยตกลงยินยอมจะชำระเงินให้แก่ อ. นั้น เพราะผู้ใหญ่บ้านมารับจำเลยไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน จำเลยเองยังไม่ได้แจ้งให้บุตรทราบ จำเลยมีอายุมากแล้วย่อมเกรงกลัวจากการถูกข่มขู่จาก อ. และบุคคลอื่น จึงยอมตกลงชำระเงิน 10,000 บาท เพื่อให้เรื่องจบกันไปนั้น เห็นว่า จำเลยมีอายุถึง 78 ปี ผ่านโลกมามาก มีประสบการณ์ชีวิตมากมาย ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะเกรงกลัว อ. หรือผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีวัยเทียมกับบุตรของจำเลยเท่านั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจำเลยมิได้กระทำความผิดก็ไม่มีเหตุที่จะไปเสนอชำระเงินให้แก่ อ. แต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 279 วรรคสอง ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 เพียงมาตราเดียว ซึ่งไม่รวมการกระทำความผิดฐานอนาจารตามมาตรา 279 แต่อย่างใดศาลจึงจะลงโทษจำเลยในความผิดที่พิจารณาได้ความหาได้ไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้กำลังประทุษร้ายกอดปล้ำแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาจำเลยโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้จนสำเร็จความใคร่หลายครั้งและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ…
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก ผู้กระทำได้กระทำโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้เด็กนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ…
เมื่อพิจารณาคำฟ้องและบทบัญญัติดังกล่าวแล้วจะใช้ข้อความเหมือนกันว่าโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดย… อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ส่วนการกระทำอนาจารนั้นหมายความเป็นการกระทำโดยไม่ชอบทางเพศต่อบุคคลอื่น การที่จำเลยนำเอาอวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าในอวัยวะเพศของผู้เสียหายซึ่งเป็นองค์ประกอบในการกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรานั้น ถือเป็นการกระทำอนาจารตามบทบัญญัติของมาตรา 279 ด้วย ทำให้เห็นว่าการกระทำความผิดตามบทบัญญัติของมาตรา 279 รวมอยู่ในการกระทำความผิดตามบทบัญญัติของมาตรา 277 แต่มีโทษเบากว่า ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 279 วรรคสอง ตามที่ข้อเท็จจริงปรากฏในทางพิจารณา จึงเป็นการชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการลงโทษในความผิดที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษและต้องห้ามตามกฎหมายแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share