คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6260/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ค่าจ้างให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปชำระหนี้ค่าจ้างดังกล่าวแก่โจทก์ แม้จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดในมูลหนี้ที่แตกต่างกัน แต่ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุรากฐานแห่งหนี้ที่โจทก์ฟ้องเกิดจากการกระทำอันเดียวกัน คือจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างโจทก์และค้างชำระหนี้ค่าจ้างอันเดียวกันจำเลยทั้งสามจึงมีส่วนได้เสียร่วมกันตามกฎหมาย อันถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามรวมกันมาในคดีเดียวกันได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 59
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายและโจทก์เป็นผู้ลงวันที่ในเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับภายหลังโจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมาแล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 สั่งจ่ายเช็คโดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 3 ยินยอมให้ผู้ทรงเช็คลงวันที่เองตามที่สมควรเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คจากจำเลยที่ 3 เพื่อชำระหนี้นั้นได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับโดยชอบตามกฎหมายย่อมลงวันที่ใดก็ได้ เมื่อตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับปรากฏว่า โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คเป็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ และวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ และตามใบคืนเช็คปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ และวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ โจทก์นำคดีมาฟ้องศาลเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันสั่งจ่ายคือวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 และวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ซึ่งเป็นทนายความให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่บริษัทกิจไพศาลอุตสาหกรรมสิ่งทอ จำกัด ลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องล้มละลาย ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 800,000 บาท จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าจ้างให้โจทก์แล้วจำนวน 200,000 บาท ยังคงค้างจำนวน 600,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 สั่งจ่ายเงิน 160,000 บาท และลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 สั่งจ่ายเงิน 220,000 บาท กับเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่อีก 2 ฉบับ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 สั่งจ่ายเงิน 70,000 บาท และลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 สั่งจ่ายเงิน 30,000 บาท รวมเช็ค 4 ฉบับ เป็นเงิน 480,000 บาท มอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าจ้างดังกล่าว เช็คทั้งสี่ฉบับมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้สั่งจ่ายและจำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลัง โจทก์นำเช็คทั้งสี่ฉบับไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนบุญศิริ เพื่อให้เรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสี่ฉบับ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 600,000 บาท โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำนวน 480,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยว่าจ้างโจทก์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 โจทก์ นายสุวิทย์และนายสมคิดสมคบกันให้โจทก์เป็นผู้ออกหน้าในการเป็นผู้ทรงเช็คทั้งสี่ฉบับเพื่อฟ้องจำเลยที่ 3 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะจำเลยที่ 3 สั่งจ่ายเช็คทั้งสี่ฉบับโดยไม่ได้ลงวันที่มอบให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปีเศษแล้ว เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ค่าแชร์ที่นางศิริรัตน์ภริยาจำเลยที่ 3 ค้างชำระจำเลยที่ 2 นายวงแชร์ซึ่งได้ชำระเสร็จในกำหนดแล้ว โจทก์ จำเลยที่1 จำเลยที่ 2 นายสุวิทย์และนายสมคิดสมคบกันลงวันที่ในเช็คโดยไม่ชอบ วันที่ลงในเช็คจึงเป็นการลงวันที่ไม่ถูกต้องแท้จริงและไม่สุจริตอายุความฟ้องจำเลยที่ 3 ภายใน 1 ปี จึงไม่อาจนับจากวันที่โจทก์กับพวกได้ลงชื่อไว้ในเช็คทั้งสี่ฉบับ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้ค่าจ้างว่าความและฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รับผิดในหนี้ตามเช็ค โดยฟ้องจำเลยทั้งสามรวมเป็นคดีเดียวกัน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 เนื่องจากจำเลยทั้งสามไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2538 เป็นต้นไปโดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดจำนวน 480,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 230,000 บาท นับแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2538 และต้นเงิน 250,000 บาท นับแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันฟ้อง 15 พฤษภาคม 2539) ต้องไม่เกิน 35,237.70 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ มีจำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็ค โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ โดยได้รับโอนมาจากจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดวันที่ลงในเช็ค โจทก์นำไปเข้าบัญชีในธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในประการแรกว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามรวมกันมาในคดีเดียวกันได้หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ค่าจ้างให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปชำระหนี้ค่าจ้างดังกล่าวให้แก่โจทก์ แม้จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดในมูลหนี้ที่แตกต่างกันแต่ข้อเท็จจริงอันเป็นมูลเหตุรากฐานแห่งหนี้ที่โจทก์ฟ้องเกิดจากการกระทำอันเดียวกันคือจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างโจทก์และค้างชำระหนี้ค่าจ้างอันเดียวกัน จำเลยทั้งสามจึงมีส่วนได้เสียร่วมกันตามกฎหมาย อันถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามรวมกันมาในคดีเดียวกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59 ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไปมีว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับโดยชอบหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เบิกความว่า โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับจากจำเลยที่ 1 เป็นค่าจ้างให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายหมายเลยแดงที่ 233/2534 ของศาลแพ่ง ระหว่างบริษัทไดอานิค จำกัด โจทก์ บริษัท กิจไพศาลอุตสาหกรรมสิ่งทอ จำกัด จำเลย ตามคำขอรับชำระหนี้ ใบมอบอำนาจ และคำให้การลูกหนี้หรือพยาน โดยโจทก์มีนางสาวธัญญวดีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มาเบิกความรับรองความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ซึ่งอยู่ในวงหน้าที่การงานของตน คำเบิกความของนางสาวธัญญวดีจึงมีน้ำหนักรับฟังสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ให้น่าเชื่อ ที่จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยจ้างโจทก์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย และจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์นั้น จำเลยที่ 3 ไม่ได้นำสืบให้เห็นดังข้อต่อสู้ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสัญญาจ้างเป็นหนังสือ ไม่มีหลักฐานการรับเงินค่าจ้างและไม่มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงินค่าจ้างมาแสดง จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้จ้างโจทก์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้น เห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้จ้างโจทก์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย โดยเฉพาะการจ้างให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นการจ้างทำของ ซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ อีกทั้งคดีนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ได้ต่อสู่ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้จ้างโจทก์ให้ดำเนินการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย โจทก์คงนำสืบโดยมุ่งประสงค์ให้จำเลยที่ 3 รับผิดตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเป็นสำคัญ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมาโดยมีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระแก่โจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับให้แก่จำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 โอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับให้แก่โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 3 นั้นทางนำสืบของจำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้ความว่าขณะโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมานั้นโจทก์รู้ว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับได้ระงับไปแล้ว จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมาโดยคิดคบกันฉ้อฉล และจำเลยที่ 3 ฎีกาอ้างว่า เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับที่โจทก์รับโอนเป็นเช็คเก่า และโจทก์ไม่ได้บังคับคดีต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกานั้นก็ไม่อาจจะรับฟังได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมาโดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 3 โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับโดยชอบ เมื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง 914 ประกอบ 989 ฎีกาของจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายและโจทก์เป็นผู้ลงวันที่ในเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับภายหลังโจทก์รับโอนเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมาแล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 สั่งจ่ายเช็คโดยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 3 ยินยอมให้ผู้ทรงเช็คลงวันที่เองตามที่สมควรเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็คจากจำเลยที่ 3 เพื่อชำระหนี้นั้นได้ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับโดยชอบตามกฎหมายย่อมลงวันที่ใดก็ได้และเมื่อโจทก์ลงวันที่ไปแล้วก็ย่อมเป็นการชอบ เมื่อตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับปรากฏว่า โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คเป็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ และวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ และตามใบคืนเช็คปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสี่ฉบับเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ และวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 จำนวน 2 ฉบับ โจทก์นำคดีมาฟ้องศาลเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันสั่งจ่ายคือวันที่ 15 พฤษภาคม 2538 และวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่อ้างว่า จะต้องนับอายุความตั้งแต่วันที่สั่งจ่ายเช็คถึงวันที่ลงในเช็คเกิน 10 ปีแล้ว จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share