คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้บัตรเครดิตของจำเลย ทนายจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าว และรับว่าใบแจ้งหนี้ที่โจทก์อ้างส่งถูกต้องตามความเป็นจริง และไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงงดสืบพยานโจทก์ แล้วพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตมีลักษณะเป็นการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและการใช้บริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิต เป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าว โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่างๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนก็ดี หรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็ดี ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ประเภทบัตรวีซ่าทอง โดยจำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกบัตรหลัก ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นสมาชิกบัตรเสริม จำเลยทั้งสองใช้บัตรเครดิตของโจทก์ซื้อสินค้า ชำระค่าบริการ และเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า โจทก์ชำระเงินให้สถานประกอบกิจการค้าแทนจำเลยทั้งสอง แล้วส่งใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไป โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 393,299.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 131,969 บาท และ 62,541.83 บาท นัดถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ประเภทบัตรวีซ่าทองทั้งบัตรหลักและบัตรเสริม แต่ไม่ได้เป็นหนี้ตามจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง ยอดหนี้ตามฟ้องไม่ถูกต้อง โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จำเลยทั้งสองชำระหนี้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 นับถึงวันฟ้องเกินกว่า 2 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย
ในวันนัดสืบพยาน ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์ ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าว และรับว่าใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตที่โจทก์อ้างส่งตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ถูกต้องตามความเป็นจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้องค่าฤชาธรรเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาปัญหาประการแรกว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์เป็นการไม่ชอบ เห็นว่า ในวันนัดสืบพยานศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงจากพยานโจทก์เกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตและการชำระหนี้บัตรเครดิตของจำเลยทั้งสอง ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าว และรับว่าใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตที่โจทก์อ้างส่งตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 ที่โจทก์อ้างส่งถูกต้องตามความเป็นจริง และไม่ติดใจสืบพยาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดสืบพยานโจทก์ แล้วพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 คำสั่งศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานโจทก์จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา นอกเหนือจากคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 และ 228 โจทก์ต้องโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อไป เว้นแต่โจทก์จะไม่มีโอกาสโต้แย้งคำสั่งนั้นได้ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2547 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2547 อันเป็นเวลาหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งถึง 8 วัน โจทก์มีโอกาสเพียงพอที่จะโต้แย้งคำสั่งนี้ได้ แต่หาได้โต้แย้งไว้ไม่ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยมาก็เป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินสดอัตโนมัติ เป็นการกู้ยืมเงินซึ่งมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความทั้งหมดนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ โดยสมาชิกซึ่งรวมทั้งจำเลยทั้งสองสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่างๆ ให้แก่ร้านค้าหรือสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อร้านค้าหรือสถานบริการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือค่าบริการจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยทั้งสองดังกล่าว โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลยทั้งสองไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยทั้งสองภายหลัง การประกอบธุรกิจของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและการใช้บริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิต ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าวซึ่งโจทก์ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการในการเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่างๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนก็ดี หรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็ดี ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share