แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์โดยแบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดแรกชำระภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 งวดที่สองชำระส่วนที่เหลือภายใน 30 วัน นับแต่ชำระงวดแรก จำเลยชำระเงินงวดแรกให้โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 จำเลยต้องชำระส่วนที่ค้างชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 จะครบกำหนดชำระหนี้ในงวดที่สองวันที่ 10 มีนาคม 2542 ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จึงทวงถามให้จำเลยในฐานะลูกหนี้ให้ชำระหนี้ก่อนวันที่ 10 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดชำระหนี้ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 191 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องจำเลยในวันสุดท้ายที่จำเลยยังมีสิทธิที่จะชำระหนี้ให้โจทก์อยู่ ยังไม่ถือว่าจำเลยผิดนัดชำระหนี้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 กลับยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามข้อตกลงแล้วโดยไม่ได้ยกเงื่อนเวลาชำระหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ จึงเป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาโดยปริยายตาม ป.พ.พ. มาตรา 192 วรรคสอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วน จำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ระหว่างเดือนสิงหาคม 2541 ถึงเดือนมกราคม 2542 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าประเภทอลูมิเนียมและอุปกรณ์ชิ้นส่วนการติดตั้งไปจากโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 2,627,563.40 บาท โจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลยทั้งสองครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยทั้งสองชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์เพียงบางส่วน ครั้งสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นเงิน 1,200,000 บาท รวมเงินที่จำเลยทั้งสองชำระค่าสินค้าแก่โจทก์เป็นเงิน 1,366,530 บาท จำเลยทั้งสองยังค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์เป็นเงิน 1,261,033.40 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,276,062.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้น 1,261,033 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2541 ถึงเดือนมกราคม 2542 จำเลยที่ 1 ซื้อสินค้าจากโจทก์จริงโดยชำระค่าสินค้าเป็นเช็ค แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงตกลงลดยอดหนี้เหลือ 1,200,000 บาท จากที่ค้างชำระประมาณ 2,600,000 บาท แต่ต้องชำระในคราวเดียว ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ชำระเงิน 1,200,000 บาท ให้แก่โจทก์แล้ว หนี้ส่วนที่เหลือจึงระงับ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าที่ค้างอยู่ 1,261,033.40 บาท และไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ย เพราะไม่มีข้อตกลง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,261,033 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2542 จนกว่าชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีนายเขมชาติ และนางจันทนีเป็นกรรมการของบริษัท กรรมการคนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อและประทับตราของโจทก์มีอำนาจกระทำการผูกพันโจทก์ได้ ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 โจทก์มอบอำนาจให้นางสาวศิริวลัยฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามเอกสารหมาย จ.3 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2541 ถึงเดือนมกราคม 2542 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าอุปกรณ์และวัสดุชิ้นส่วนก่อสร้างไปจากโจทก์รวมเป็นเงินค่าสินค้าที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์ทั้งสิ้น 2,461,033.40 บาท จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน นายเขมชาติกรรมการโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้เจรจากันโดยจำเลยทั้งสองเสนอผ่อนชำระให้โจทก์เดือนละ 50,000 บาท แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนในที่สุดโจทก์อ้างว่า ตกลงให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระเป็น 2 งวด งวดแรกชำระ 1,200,000 บาท ภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 งวดที่สองชำระส่วนที่เหลือ 1,261,033.40 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่ชำระงวดแรก จำเลยทั้งสองชำระงวดแรกแล้วในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 แต่งวดที่สองจำเลยทั้งสองไม่ชำระโจทก์ได้ทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ตามหนังสือทวงถามและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.16 และ จ.17 ส่วนจำเลยทั้งสองอ้างว่า หลังเจรจากัน ฝ่ายโจทก์ตกลงลดยอดหนี้ให้จำเลยทั้งสองคงเหลือเพียง 1,200,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองต้องชำระคราวเดียวให้หมด ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท ให้โจทก์ตามข้อตกลงแล้ว หนี้ส่วนที่เหลือจึงระงับไปตามข้อตกลง
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าโจทก์จำเลยทั้งสองได้เจรจากันและตกลงให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน 2,461,033.40 บาท โดยแบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดแรกชำระจำนวน 1,200,000 บาท ภายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 งวดที่สองชำระส่วนที่เหลืออีก 1,261,033.40 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่ชำระงวดแรก จำเลยทั้งสองชำระเงินงวดแรกจำนวน 1,200,000 บาท ให้โจทก์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 ดังนั้น จำเลยทั้งสองต้องชำระส่วนที่ค้างชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 คำนวณตามวันปฏิทินแล้วจะครบกำหนดที่จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้ในงวดที่สองวันสุดท้ายคือวันที่ 10 มีนาคม 2542 ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จึงไม่มีอำนาจที่จะทวงถามให้จำเลยทั้งสองในฐานะลูกหนี้ให้ชำระหนี้ก่อนวันที่ 10 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 191 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2542 โดยให้ชำระหนี้ภายใน 3 วัน ตามหนังสือทวงถามและใบตอบรับเอกสารหมาย จ.16 และ จ.17 จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามวันที่ 3 มีนาคม 2542 ซึ่งครบกำหนดต้องชำระภายใน 3 วัน ตามหนังสือทวงถามคือวันที่ 6 มีนาคม 2542 จึงเป็นวันที่ให้จำเลยทั้งสองชำระก่อนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดชำระ หนังสือทวงถามดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้ในวันที่ 10 มีนาคม 2542 ซึ่งยังไม่ถึงวันครบกำหนดชำระหนี้ แต่เป็นวันสุดท้ายที่จำเลยทั้งสองยังมีสิทธิที่จะชำระหนี้ให้โจทก์อยู่ยังไม่ถือว่าจำเลยทั้งสองผิดนัดชำระหนี้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 กลับยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามข้อตกลงแล้วโดยไม่ได้ยกเงื่อนเวลาชำระหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ จึงเป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาโดยปริยายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 วรรคสอง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น และเพื่อมิให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคดีต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดอีก โดยมีปัญหาต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องชำระหนี้จำนวน 1,261,033.40 บาท ให้โจทก์หรือไม่เพียงใด โจทก์มีนางสาวศิริวลัยผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่าจำเลยทั้งสองขอผ่อนผันกับโจทก์โดยตกลงขอผ่อนชำระยอดหนี้ทั้งหมดจำนวน 2,461,033.40 บาท เป็น 2 งวด งวดแรกชำระวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์รับไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนงวดที่ 2 ที่ค้างชำระอีกจำนวน 1,261,033.40 บาท จำเลยทั้งสองต้องชำระภายใน 30 วัน นับแต่ชำระงวดแรก เมื่อคำนวณตามวันแห่งปฏิทินแล้วจะตรงกับวันที่ 10 มีนาคม 2542 แต่นายเขมชาติกรรมการผู้จัดการโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองอ้างเป็นพยานฝ่ายจำเลยทั้งสองกลับเบิกความว่า โจทก์ตกลงให้จำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้เป็นสองงวด งวดแรกชำระ 1,200,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ชำระอีก 1,200,000 บาท ภายในระยะเวลา 2 เดือน จึงแตกต่างกับคำเบิกความของนางสาวศิริวลัยผู้รับมอบอำนาจโจทก์ที่เบิกความว่าเงินงวดที่ 2 ต้องชำระภายใน 30 วัน นับแต่ชำระงวดแรก จึงไม่น่าเชื่อถือ และหากจำเลยทั้งสองต้องชำระเงินงวดที่สองภายใน 30 วัน นับแต่ชำระงวดแรกคือชำระภายในวันที่ 10 มีนาคม 2542 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อโจทก์ได้ร้บชำระหนี้งวดแรกในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 แล้ว โจทก์แสดงอาการลุกลี้ลุกลนรีบมีหนังสือทวงถามฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2542 ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้งวดที่สองภายใน 3 วันนับแต่ได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามวันที่ 3 มีนาคม 2542 จึงต้องชำระภายในวันที่ 6 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นวันที่ยังไม่ถึงกำหนดที่โจทก์อ้างว่าให้จำเลยทั้งสองชำระงวดที่สองภายในวันที่ 10 มีนาคม 2542 เป็นที่น่าสงสัยในพฤติการณ์ของโจทก์อยู่ นอกจากนี้ ยอดหนี้ทั้งหมดที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสองได้สั่งจ่ายเช็ค 6 ฉบับ ชำระหนี้ให้โจทก์ ปรากฏว่าฉบับแรกโจทก์นำไปขึ้นเงินธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งโจทก์มีสิทธินำไปฟ้องดำเนินคดีอาญาจำเลยทั้งสองได้ แต่เมื่อจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท ให้โจทก์เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 โจทก์กลับยอมคืนเช็คทั้ง 6 ฉบับ ให้จำเลยทั้งสองโดยไม่ยึดเช็คของจำเลยทั้งสองไว้บางส่วนตามวิสัยของนักธุรกิจ ก็น่าจะคืนเช็คให้เท่ากันหรือใกล้เคียงกับจำนวนเงิน 1,200,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองชำระแล้ว ส่วนเช็คที่เหลือก็น่าจะเก็บเอาไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้งวดที่สอง แต่โจทก์กลับคืนเช็คทั้ง 6 ฉบับให้จำเลยทั้งสองซึ่งขัดต่อเหตุผล ทำให้น่าเชื่อว่า โจทก์ลดยอดหนี้ให้จำเลยทั้งสองเหลือเงินที่ต้องชำระเพียง 1,200,000 บาท ส่วนที่เหลือโจทก์ยกหนี้ให้จำเลยทั้งสองดังจำเลยทั้งสองอ้าง ประกอบกับหลังจากจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท ให้โจทก์ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 แล้ว จำเลยทั้งสองก็ได้มีการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เรื่อยมา แต่เป็นการสั่งซื้อสินค้าด้วยเงินสด ตามใบยืมสินค้าชั่วคราวเอกสารหมาย ล.1 ทำให้น่าเชื่อว่าโจทก์ยกหนี้ส่วนหนึ่งที่เหลือให้จำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์จึงไม่ให้เครดิตแก่จำเลยทั้งสองอีก โดยให้ซื้อสินค้าเป็นเงินสดเท่านั้นจำเลยที่ 2 ยังยืนยันว่า หลังจากจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 1,200,000 บาท ให้โจทก์ และโจทก์คืนเช็คทั้ง 6 ฉบับให้จำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์ยังคืนต้นฉบับใบวางบิลและใบยืมสินค้าชั่วคราวให้จำเลยทั้งสองด้วยซึ่งจำเลยทั้งสองได้ทำลายทิ้งไปหมดแล้ว เพราะถือว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์หมดสิ้นแล้ว ส่วนใบวางบิล และใบยืมสินค้าชั่วคราวตามเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.15 เป็นเพียงสำเนาทางบัญชีที่อยู่ที่โจทก์เท่านั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานจำเลยทั้งสอง เชื่อว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน 1,200,000 บาท และโจทก์ได้ยกหนี้ส่วนที่เหลือให้จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องชำระหนี้ตามฟ้องให้โจทก์อีก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นฟ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ