คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การพิจารณาและสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์หรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร จะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และมาตรา 172 ทวิ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล และทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแล้ว ศาลชั้นต้นไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยที่ 1 ได้อีกต่อไป การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงว่า ส. เป็นผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางผลการตรวจพิสูจน์เป็นเมทแอมเฟตามีนตามรายงานผลการตรวจพิสูจน์ ที่โจทก์ส่งศาลและโจทก์แถลงไม่สืบพยานโจทก์ปากดังกล่าว ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มาศาลและให้การปฏิเสธไม่มีโอกาสโต้แย้งหรือต่อสู้คดีได้ว่ายาเสพติดให้โทษของกลางมิใช่เมทแอมเฟตามีนตามแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์อันจะเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม) 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 6 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม) 67 (ที่แก้ไขใหม่) จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่า การที่ศาลชั้นต้นให้ทนายความจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงว่าพันตำรวจโทสังวรเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ยาเสพติดให้โทษของกลาง ผลการตรวจพิสูจน์เป็นเมทแอมเฟตามีน น้ำหนักเฉพาะของกลางรวม 3.57 กรัม ตามแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.1 และโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานโจทก์ปากดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับดังกล่าวซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ว่า โจทก์ จำเลยที่ 2 และทนายจำเลยทั้งสองมาศาลส่วนจำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุจำเลยที่ 1 ป่วย โจทก์แถลงไม่คัดค้านและแถลงว่ามีร้อยตำรวจเอกงอลงกรณ์ จ่าสิบตำรวจสัญญาและพันตำรวจโทสังวรมาศาล หากจำเลยทั้งสองรับว่าพันตำรวจโทสังวรเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ยาเสพติดให้โทษของกลาง ผลการตรวจพิสูจน์เป็นเมทแอมเฟตามีน น้ำหนักเฉพาะของกลางรวม 3.57 กรัม ตามแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์ที่ให้ดูนี้แล้ว โจทก์ไม่ติดใจสืบพันตำรวจโทสังวร ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงดังกล่าว โจทก์ขอส่งเอกสารแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์เป็นพยานต่อศาล แล้วแถลงไม่ติดใจสืบพยานปากนี้ เห็นว่า การพิจารณาและสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์หรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร จะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และมาตรา 172 ทวิ คดีนี้ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล และทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแล้ว ศาลชั้นต้นไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยที่ 1 ได้อีกต่อไป การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ทนายทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพยานโจทก์ ผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางและผลการตรวจพิสูจน์ของกลางตามแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์ย่อมทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มาศาลและให้การปฏิเสธ ไม่มีโอกาสโต้แย้งหรือต่อสู้คดีได้ว่ายาเสพติดให้โทษของกลางมิใช่เมทแอมเฟตามีนตามแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์อันจะเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบและมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกา”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share