คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12207/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลสงสัยว่าทนายจำเลยมีอาการป่วยร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้หรือไม่ ศาลมีอำนาจที่จะตั้งเจ้าพนักงานศาลไปทำการตรวจดูว่าทนายจำเลยป่วยจริงตามคำร้องขอเลื่อนคดีหรือไม่ การที่ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานไปทำการตรวจทนายจำเลย โดยให้แพทย์ตรวจอาการแสดงว่า ศาลมีความสงสัยตามควรแล้วว่าทนายจำเลยจะป่วยเจ็บตามคำร้องถึงกับจะมาศาลไม่ได้จริงหรือไม่ เมื่อทนายจำเลยมีภาระพิสูจน์แต่มิได้พิสูจน์ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนการนั่งพิจารณาและดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไป จึงชอบแล้ว
ชั้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ พยานจำเลยซึ่งคือตัวจำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องว่ามีเหตุขัดข้องว่ามีเหตุอันควรอย่างไรจึงมาศาลไม่ได้ จำเลยไม่มีพยานมาสืบโจทก์จึงไม่มีอะไรให้ต้องสืบคัดค้าน คดีเสร็จการพิจารณาและเมื่อศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีแล้วจึงต้องงดไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่และให้ยกคำร้อง เพราะการไต่สวนคำร้องต่อไปจะเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ฝ่ายจำเลยเลื่อนคดี
ศาลชั้นต้นมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาสั่งให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 และ 167

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินที่เช่าและส่วนที่มิได้เช่าอีกส่วนหนึ่งให้ชำระค่าเช่าที่ดินที่ค้างพร้อมด้วยดอกเบี้ยและเรียกค่าเสียหาย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 45528 และให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (7 กันยายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 35,000 บาท นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่าการที่ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าไม่สามารถมาศาลได้เพราะป่วยเจ็บและมีใบรับรองแพทย์มาประกอบก็น่าจะเพียงพอให้เชื่อถือได้แล้ว และการที่ทนายโจทก์มิได้นำแพทย์มาประกอบก็น่าจะเพียงพอให้เชื่อถือได้แล้ว และการที่ทนายโจทก์มิได้นำแพทย์ไปตรวจทนายจำเลยแล้วศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจนไม่สามารถมาศาลได้ โดยวินิจฉัยจากการสอบถามทนายโจทก์และรองจ่าศาลซึ่งไม่มีความรู้ทางด้านแพทย์ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 และ 41 บัญญัติเกี่ยวกับการขอเลื่อนการนั่งพิจารณาไปว่าถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเหตุจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนการนั่งพิจารณาต่อไปและศาลได้สั่งให้เลื่อนไปแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นจะขอเลื่อนการนั่งพิจารณาอีกไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเลยได้ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายหนึ่งมีคำขอฝ่ายเดียว ศาลจะมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานไปทำการตรวจก็ได้ และถ้าสามารถหาแพทย์ได้ก็ให้ตั้งแพทย์ไปตรวจด้วย ถ้าผู้ที่ศาลตั้งให้ไปตรวจได้รายงานโดยสาบานตนหรือกล่าวคำปฏิญาณแล้วและศาลเชื่อว่าอาการของผู้ที่อ้างว่าป่วยนั้นไม่ร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้ ให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการขาดนัดหรือการไม่มาศาล…ฯลฯ คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย ในนัดแรกทนายจำเลยแถลงต่อศาลว่าพยานที่จะนำเข้าเบิกความคือตัวจำเลยป่วยมาเบิกความต่อศาลไม่ได้ ขอเลื่อนการนั่งพิจารณาไป และแถลงต่อไปว่าหากในนัดหน้าไม่มีพยานมาศาล ให้ถือว่าไม่ติดใจนำพยานเข้าเบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนการนั่งพิจารณาไปวันที่ 22 เมษายน 2542 เวลา 9 นาฬิกา ครั้นวันนัดต่อมาทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการนั่งพิจารณาอีก อ้างว่าตัวทนายจำเลยป่วยตามใบรับรองแพทย์แนบท้ายคำร้องโดยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องแทน ทนายโจทก์รับสำเนาคำร้องแล้วแถลงคัดค้านการขอเลื่อนคดีไปอีกไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจริงและฝ่ายจำเลยมีพฤติการณ์ประวิงคดี ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานไปตรวจ และฝ่ายโจทก์จะจัดหาแพทย์ไปตรวจร่างกายทนายจำเลยว่าป่วยจริงหรือไม่ ศาลชั้นต้นอนุญาตตามคำขอ แล้วตั้งนายสิทธิพลรองจ่าศาลเป็นเจ้าพนักงานไปทำการตรวจ แล้วนายสิทธิพลทำบันทึกรายงานว่าไปทำการตรวจพบทนายจำเลยแจ้งว่าอาการป่วยเริ่มดีขึ้นแล้วและสามารถมาศาลได้ในช่วงบ่ายเวลา 13.30 นาฬิกา ต่อมาในตอนบ่ายทนายโจทก์และทนายจำเลยมาศาล ศาลสอบถาม นายสิทธิพลเจ้าพนักงานผู้ไปทำการตรวจซึ่งสาบานตัวแล้วแถลงว่า เมื่อทนายจำเลยแจ้งว่าป่วยตนจึงแจ้งให้ทนายจำเลยไปพบแพทย์โดยทนายโจทก์ได้เตรียมรถพยาบาลและพยาบาลมาพร้อมแล้ว ทนายจำเลยแจ้งว่าอาการป่วยดีขึ้นแล้ว สามารถไปศาลได้ในช่วงบ่าย ขณะตนพบทนายจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยมีอาการปกติสามารถเดินเหินได้สะดวก ศาลสอบทนายจำเลยแล้ว แถลงว่าขณะที่ทนายโจทก์และนายสิทธิพลเจ้าพนักงานศาลไปถึงที่พักทนายจำเลยนั้น ทนายจำเลยมีอาการทุเลาแล้ว และไม่ติดใจที่จะนำแพทย์ผู้ตรวจร่างกายทนายจำเลยตามใบรับรองแพทย์ลงวันที่ 21 เมษายน 2542 เข้าไต่สวน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจนไม่สามารถมาศาลได้ การเลื่อนคดีของจำเลยมีลักษณะประวิงคดีไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีนั้น เห็นว่า เมื่อศาลมีความสงสัยว่าทนายจำเลยมีอาการป่วยร้ายแรงถึงกับจะมาศาลไม่ได้หรือไม่ ศาลก็มีอำนาจที่จะตั้งเจ้าพนักงานศาลไปทำการตรวจว่าทนายจำเลยป่วยจริงตามคำร้องขอเลื่อนคดีหรือไม่ ตามบทบัญญัติข้างต้นทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าป่วย ปวดท้อง อาเจียน อาหารเป็นพิษอ่อนเพลียตามใบรับรองแพทย์ลงวันที่ 21 เมษายน 2542 เชื่อว่าศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์สุขภาพของทนายจำเลยจากที่เห็นเฉพาะหน้าประกอบคำแถลงที่เจ้าพนักงานผู้ไปตรวจเห็นในช่วงเช้าก็มีอาการปกติ จึงไม่เชื่อว่าทนายจำเลยป่วยจนไม่สามารถมาศาลได้ตามนัด และการที่ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานไปทำการตรวจโดยพร้อมจะนำทนายจำเลยให้แพทย์ตรวจอาการนั้นแสดงว่า ศาลมีความสงสัยตามควรแล้วว่าทนายจำเลยจะป่วยเจ็บตามคำร้องถึงกับจะมาศาลไม่ได้จริงหรือไม่ซึ่งทนายจำเลยมีภาระพิสูจน์ แต่ทนายจำเลยก็มิได้พิสูจน์เช่นนำแพทย์ที่ตรวจอาการของตนมาเบิกความยืนยันหรือแสดงให้เห็นว่ามีอาการป่วยจริงถึงกับมาศาลไม่ได้ทนายโจทก์ได้ทำในส่วนหน้าที่ของโจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนการนั่งพิจารณาไป จึงชอบแล้ว และดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไป แต่พยานจำเลยซึ่งคือตัวจำเลยไม่มาศาลทั้งเช้าและบ่ายโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องว่ามีเหตุอันควรอย่างไรจึงมาศาลไม่ได้ จำเลยไม่มีพยานมาสืบ โจทก์จึงไม่มีอะไรให้ต้องสืบคัดค้าน คดีเสร็จการพิจารณาและเมื่อศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีแล้ว จึงต้องงดไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่และให้ยกคำร้องตามลำดับ เพราะการไต่สวนคำร้องต่อไปจะเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ฝ่ายจำเลยเลื่อนคดี ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยล้วนไม่เป็นสาระคดีและมิได้ยกขึ้นกล่าวมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาจึงสั่งให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และ 167”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share