คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9375/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด โจทก์ย่อมไม่สามารถดำเนินคดีแก่จำเลยได้อีก การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกศาลชั้นต้นชอบที่จะไม่รับคำฟ้อง แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วยังไม่ปรากฏต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงรับคำฟ้องไว้โดยผิดหลง ต่อมาเมื่อโจทก์แถลงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วมาในคำบอกกล่าวขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ มีผลเท่ากับเป็นการแก้ไขข้อผิดหลงที่เคยสั่งรับคำฟ้องแล้ว ศาลฎีกาไม่จำต้องเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนพิจารณาใดๆ อีกแต่ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งหมด เพื่อไม่ให้โจทก์ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน คือ ค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้ และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้ร่วมกันชำระหนี้จำนวน 15,020,410.95 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสี่ โจทก์ได้ยื่นคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องต่อศาลชั้นต้นว่า ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสี่ในคดีนี้แล้วตั้งแต่ก่อนโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ โจทก์จึงไม่สามารถดำเนินคดีนี้กับจำเลยทั้งสี่ได้อีก ขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสี่และขอศาลได้โปรดคืนเงินค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์ทั้งหมดจำนวน 200,000 บาท หรือเป็นกรณีพิเศษด้วยศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสี่และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์เป็นเงิน 175,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและขอให้สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์ทั้งหมดด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบและต้องคืนค่าธรรมเนียม (ค่าขึ้นศาล) ทั้งหมดให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสี่ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2548 โจทก์ย่อมไม่สามารถดำเนินคดีนี้แก่จำเลยทั้งสี่ได้อีก การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 ศาลชั้นต้นชอบที่จะไม่รับคำฟ้อง แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยทั้งสี่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วยังไม่ปรากฏต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงรับคำฟ้องไว้โดยผิดหลง ต่อมาเมื่อโจทก์แถลงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยทั้งสี่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดต่อศาลชั้นต้นแล้วตามคำบอกกล่าวขอถอนฟ้องลงวันที่ 16 ธันวาคม 2548 ศาลชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกสารบบความ มีผลเท่ากับเป็นการแก้ไขข้อผิดหลงที่เคยสั่งรับคำฟ้องแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนพิจารณาใดๆ อีก อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความตามที่โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสี่เนื่องจากจำเลยทั้งสี่ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดดังกล่าวแล้ว ซึ่งโจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอีกด้วยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่คืนค่าธรรมเนียมให้โจทก์ทั้งหมดนั้นน่าจะเป็นภาระแก่โจทก์ที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนคือค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นหนี้จำนวนเดียวกับที่โจทก์เรียกร้องเอาแก่จำเลยทั้งสี่และไม่แน่นอนว่าโจทก์จะได้รับเฉลี่ยชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสี่ในคดีล้มละลายเต็มตามจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสี่เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจคืนค่าธรรมเนียมให้โจทก์บางส่วน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งหมด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share