คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7269/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุเพียงว่าจำเลยค้างค่าน้ำประปาเป็นเงิน 660 บาท และค่าโทรศัพท์เป็นเงิน 1,100 บาท แต่ในตารางการคำนวณอัตราดอกเบี้ยและทุนทรัพย์เอกสารท้ายฟ้องระบุว่า ค่าน้ำประปารวมถึงค่ารักษามาตร และค่าโทรศัพท์รวมถึงค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายใน ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่ารักษามาตรวัดน้ำประปาและค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายในจึงมิได้เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลอาคารชุด มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลางของอาคารชุดและมีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้เป็นไปตามข้อบังคับของโจทก์ จำเลยเป็นเจ้าของร่วมซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุดเลขที่ 399/297 ของอาคารชุดโชคชัยร่วมมิตรคอนโดมิเนียม จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามข้อบังคับของโจทก์นับแต่วันที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด โดยข้อบังคับได้กำหนดให้เจ้าของร่วมจะต้องร่วมกันชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางล่วงหน้าทุก 1 ปี โดยคิดตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละรายมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด โดยมีอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 405 ส่วนในส่วนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 501,309 ส่วนจำเลยจึงมีหน้าที่ชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางให้แก่โจทก์เดือนละ 405 บาท หรือปีละ 4,860 บาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์ แต่หลังจากจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยยังค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จะต้องชำระให้แก่โจทก์คือ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นเงิน 19,440 บาท ค่าน้ำประปาเป็นเงิน 660 บาท ค่าโทรศัพท์เป็นเงิน 1,100 บาท และค่าเบี้ยประกันประจำปี 2538 เป็นเงิน 1,078 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยค้างชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แก่โจทก์จำนวน 22,278 บาท โจทก์ขอคิดเบี้ยปรับจากจำเลยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากต้นเงินค้างชำระจำนวน 22,278 บาท นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นค่าปรับจำนวน 5,701.88 บาท กับขอคิดดอกเบี้ยจากค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ค้างชำระจำนวน 22,278 บาท ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องอีกเป็นเงิน 4,276.41 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นเงิน 5,000 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้นจำนวน 37,256.30 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 37,256.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 22,278 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์และให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายเดือนในอัตราของห้องชุดที่จำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นใดที่เกิดขึ้นตาม ข้อบังคับของโจทก์และพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 ในระหว่างที่จำเลยยังคงเป็นเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดดังกล่าวอยู่นับแต่เดือนมีนาคม 2542 เป็นต้นไปให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงสละประเด็นข้อพิพาทตามคำให้การและยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ทั้งหมด คงต่อสู้เพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 27,979.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 22,278 บาท นับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2542 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยไม่โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอาคารชุดใช้ชื่อว่า นิติบุคคลอาคารชุดโชคชัยร่วมมิตรคอนโดมิเนียมตามหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลอาคารชุดเอกสารหมาย จ.1 ผู้จัดการของโจทก์มีอำนาจดำเนินการให้เป็นไปตามข้อบังคับของโจทก์ เอกสารหมาย จ.3 จำเลยเป็นเจ้าของร่วมซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุดเลขที่ 399/297 ของอาคารชุดโชคชัยร่วมมิตรคอนโดมิเนียม โดยมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง 405 ส่วนในกรรมสิทธิ์ทั้งหมด 501,309 ส่วน ตามหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด เอกสารหมาย จ.4ซึ่งตามข้อบังคับของโจทก์เอกสารหมาย จ.3 หมวด 4 จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายส่วนกลางและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อ 1 ข้อ 3 และข้อ 4 อันเป็นฎีกาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ค่าเบี้ยประกันภัยและเบี้ยปรับนั้น ศาลชั้นต้นมิได้สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาทั้งสามข้อดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์ยอมรับมิได้โต้แย้ง จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ปัญหาดังกล่างศาลอุทธรณ์จึงมิได้วินิจฉัยให้ การที่โจทก์ฎีกาในปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอีก จึงต้องถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ 2 เพียงว่า การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่ารักษามาตรวัดน้ำประปา และค่าโทรศัพท์เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ เห็นว่า เอกสารท้ายฟ้องถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แม้คำฟ้องของโจทก์จะระบุเพียงว่า จำเลยค้างชำระค่าน้ำประปาเป็นเงิน 660 บาท และค่าโทรศัพท์เป็นเงิน 1,100 บาท แต่ในตารางการคำนวณอัตราดอกเบี้ยและทุนทรัพย์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ระบุว่าค่าน้ำประปารวมถึงค่ารักษามาตรและค่าโทรศัพท์รวมถึงค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายในดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่ารักษามาตรวัดน้ำประปา และค่ารักษาคู่สายโทรศัพท์ภายใน จึงมิได้เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น ส่วนที่จำเลยอ้างว่า โจทก์มิได้นำทรัพย์ดังกล่าวไปดูแลรักษาแทนจำเลยหรือชำระค่ารักษาทรัพย์ดังกล่าวแก่หน่วยงานของรัฐผู้ให้บริการ จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยนั้น จำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share