คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5045/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอค่าขึ้นศาลบางส่วนคืนโดยอ้างว่าได้ชำระเกินไปกว่าที่จะต้องชำระตามกฎหมาย ย่อมเท่ากับเป็นการยกเหตุว่าค่าฤชาธรรมเนียมนั้นมิได้คำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 168 บัญญัติยกเว้นให้สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียวได้ แต่เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิมาขอค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่ได้ชำระไปแล้วคืนได้อีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,469,416 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จสิ้น หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินโฉนดเลขที่ 15760 ตำบลคลองสิบสอง อำเภอหนองจอก กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำมาชำระหนี้จนครบถ้วน ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท และคดีถึงที่สุด
โจทก์ยื่นคำแถลงว่า คดีโจทก์เป็นคำฟ้องขอให้บังคับจำนอง และจำเลยไม่ให้การต่อสู้คดี ซึ่งโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามกฎหมายเพียงอัตราร้อยละ 1 แต่โจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลไปในอัตราร้อยละ 2.5 เป็นเงิน 36,735 บาท จึงเกินไป 22,040 บาท ขอให้มีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีตามคำฟ้องเป็นเรื่องโจทก์ฟ้องจำเลยอันเนื่องมาจากหนี้กู้ยืมซึ่งจะต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลร้อยละ 2.5 ไม่ใช่เป็นเรื่องบังคับจำนองอย่างเดียว การคิดค่าธรรมเนียมอัตราร้อยละ 2.5 จึงถูกต้องแล้ว ให้ยกคำแถลง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ฎีกาของโจทก์ที่ว่า โจทก์ยื่นฟ้องขอให้บังคับจำนองโดยโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลในเวลายื่นคำฟ้องอัตราร้อยละ 2.5 ของทุนทรัพย์จำนวน 36,735 บาท เมื่อจำเลยไม่ให้การต่อสู้คดี โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาลในอัตราร้อยละ 1 ชอบที่โจทก์จะขอขึ้นศาลในส่วนที่เกิน 22,040 บาท ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เป็นค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นคำฟ้อง ซึ่งมาตรา 149 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ชำระ และมาตรา 161 บัญญัติให้ความรับผิดชั้นที่สุดสำหรับค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่แพ้คดี คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท ค่าขึ้นศาลที่โจทก์ได้ชำระในเวลายื่นคำฟ้องนับว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ที่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายที่แพ้คดีจะต้องรับผิดชำระคืนแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอค่าขึ้นศาลดังกล่าวบางส่วนคืน โดยอ้างว่าได้ชำระเกินไปกว่าที่จะต้องชำระตามกฎหมาย ย่อมเท่ากับเป็นการยกเหตุว่า ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นมิได้คำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมาย และในกรณีเช่นว่านี้ มาตรา 168 บัญญัติยกเว้นให้สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาในปัญหาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแต่อย่างเดียวได้ เมื่อโจทก์มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ปัญหาดังกล่าวและคดีถึงที่สุดไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิมาขอค่าธรรมเนียมศาลที่ได้ชำระไปแล้วคืนได้อีก เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share