แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยและผู้เสียหายที่ 1 สมรสกัน ดังนั้น ความผิดในข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก จำเลยไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 277 วรรคท้าย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสาม เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 18 ปีเศษ เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 22 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 11 ปี 3 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยและผู้เสียหายที่ 1 สมรสกันตามคำสั่งศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 และใบสำคัญการสมรส ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2547 ดังนี้ สำหรับความผิดในข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก จำเลยไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 277 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก ถ้าเป็นการกระทำที่ชายกระทำกับเด็กหญิงอายุกว่า 13 ปี แต่ยังไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิงนั้นสมรสกัน ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งขณะเกิดเหตุมีอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้เสียหายที่ 2 เพื่อการอนาจารก็ตาม แต่จำเลยติดต่อคบหากับผู้เสียหายที่ 1 อย่างคนรัก พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่ร้ายแรงนัก ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุจำเลยได้สมรสกับผู้เสียหายที่ 1 ตามที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครสวรรค์อนุญาต และอยู่กินกันฉันสามีภริยา โดยผู้เสียหายที่ 2 ไม่ประสงค์จะให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญาแล้ว ดังนั้น การที่จะปราณีจำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุกและคุมความประพฤติจำเลยไว้ น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่าที่จะลงโทษจำคุกจำเลยไปเสียทีเดียว ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ เห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ปรับจำเลยกระทงละ 5,000 บาท รวม 5 กระทง ปรับ 25,000 บาท อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงปรับ 12,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ระหว่างรอการลงโทษให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6