คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8141/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษา อ. โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกประเภทรวมทั้งสองเอกสารใบเสร็จรับเงินและเงินค่าสมัครเรียนซึ่งเป็นของกิจการโรงเรียนดังกล่าว ส่วนการได้รับอนุญาตให้โอนโรงเรียนเพื่อดำเนินกิจการในนามของโจทก์ร่วมเมื่อใดนั้น หาได้กระทบถึงความเป็นเจ้าของกิจการโรงเรียนของโจทก์ร่วมไม่ เมื่อมีการรับเงินค่าสมัครเรียนดังกล่าวโดยมีการออกใบเสร็จรับเงินในนามของโรงเรียนโจทก์ร่วมให้แก่ผู้สมัครเรียน ซึ่งจำเลยลูกจ้างโจทก์ร่วมทำหน้าที่รับเงินค่าสมัครเรียนไว้ต้องส่งมอบเงินนั้นให้แก่โจทก์ร่วมผู้เป็นนายจ้าง การที่จำเลยเอาเอกสารใบเสร็จรับเงินและเงินดังกล่าวไปเสียโดยทุจริตย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยลักทรัพย์เครื่องคิดเลขแบบคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ราคา 16,000 บาท ของนายกิตติภูมิ วัฒนศิริ ผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยไป และในวันเวลาดังกล่าวจำเลยเอาไปเสียซึ่งเอกสารสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าสมัครเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของโรงเรียนสอนภาษาอบาคัส ซึ่งเป็นกิจการค้าของผู้เสียหายจำนวน 2 ฉบับ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย พร้อมกับจำเลยลักทรัพย์เอาเงินสดจำนวน 3,200 บาท ของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยไป และต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยเอาไปเสียซึ่งเอกสารสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าสมัครเรียนวิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียนสอนภาษาอบาคัส ซึ่งเป็นกิจการค้าของผู้เสียหายจำนวน 2 ฉบับ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย พร้อมทั้งลักทรัพย์เอาเงินสดจำนวน 4,000 บาท ของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 188 และ 335 กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงินรวม 23,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายกิตติภูมิ วัฒนศิริ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 และ 335 (11) วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 335 (11) วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โดยให้ลงโทษจำคุก 1 ปี กับให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3,200 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันชั้นฎีกาฟังได้ว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอบาคัส จำเลยเป็นลูกจ้างโจทก์ร่วมโดยทำงานในตำแหน่งพนักงานประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่รับสมัครเรียนและเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียนแทนโจทก์ร่วม ปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารสำเนาใบเสร็จรับเงินค่าสมัครเรียนวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งนางสาวสุวิมล อภินันทกุลชัย เป็นผู้สมัครเรียนและลักทรัพย์เงินสดค่าสมัครเรียนดังกล่าวจำนวน 3,200 บาท ตามสำเนาใบเสร็จรับเงินหรือไม่ โจทก์กับโจทก์ร่วมมีนางสาวสุวิมลผู้สมัครเรียนเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2539 เวลา 19.30 นาฬิกา พยานไปสมัครเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนสอนภาษาอบาคัสของโจทก์ร่วม พบจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่รับสมัครเพียงผู้เดียว พยานเป็นผู้กรอกข้อความลงในใบเสร็จรับเงินตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน และจ่ายเงินค่าสมัครเรียนจำนวน 3,200 บาท ให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยรับเงินค่าสมัครเรียนดังกล่าวแล้วได้ลงลายมือชื่อรับเงินในใบเสร็จรับเงินและฉีกต้นขั้วใบเสร็จรับเงินทั้งชุดจำนวน 3 ใบ ซึ่งพยานยังพูดขึ้นว่าฉีกใบเสร็จรับเงินทั้งหมดไม่ได้ ต้องเก็บไว้ใบหนึ่ง พยานเก็บใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไว้ใบหนึ่งส่วนจำเลยนำใบเสร็จรับเงินใบหนึ่งเย็บติดกับเงินค่าสมัครเรียนจำนวน 3,200 บาท แล้วนำไปใส่ในลิ้นชักโต๊ะ ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2539 พยานมาที่โรงเรียนเมื่อยื่นใบเสร็จรับเงินให้เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนดูเพื่อเข้าชั้นเรียน เจ้าหน้าที่โรงเรียนนำใบเสร็จรับเงินไปตรวจสอบแล้วบอกว่าไม่พบสำเนาใบเสร็จรับเงินดังกล่าว พยานจึงไม่ได้เข้าเรียน ซึ่งความข้อนี้โจทก์ร่วมเบิกความสนับสนุนได้ความว่า ในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่โรงเรียนพบนักเรียนถือใบเสร็จรับเงินมาแสดงเพื่อเข้าเรียน แต่เมื่อตรวจชื่อแล้วไม่มีชื่อในบัญชีของโรงเรียน เมื่อตรวจสอบพบว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวสูญหายไปจากต้นขั้วในสมุดใบเสร็จรับเงิน เป็นเหตุให้โรงเรียนไม่ได้รับเงินตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน ซึ่งการรับสมัครนักเรียนเข้าเรียนนั้นนักเรียนจะเป็นผู้กรอกรายละเอียดในใบสมัครด้วยตนเอง จากนั้นพนักงานจะออกใบเสร็จรับเงินโดยเขียนข้อมูลจากใบสมัครของนักเรียน แต่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานผู้รับสมัครให้นักเรียนเป็นผู้กรอกใบเสร็จรับเงินเอง ใบเสร็จรับงเงินดังกล่าวเป็นชุดรวม 3 ใบ ใบแรกเป็นสีขาวจะมอบให้แก่นักเรียนผู้สมัครที่จ่ายเงินค่าสมัครเรียนไว้เป็นหลักฐาน ใบที่สองเป็นสีชมพูจำเลยซึ่งทำหน้าที่พนักงานเก็บเงินมีหน้าที่นำใบส่งเงินส่งให้แก่พนักงานบัญชี ส่วนใบที่สามเป็นสีน้ำตาลจะติดเป็นตั้นขั้วใบเสร็จรับเงินไว้ในสมุดใบเสร็จรับเงิน การตรวจสอบไม่พบใบเสร็จรับเงินสีชมพูและสีน้ำตาลอยู่ในสมุดใบเสร็จรับเงิน โดยโจทก์ร่วมยังทราบจากนางสาวจารุวรรณ ลอยวิลัย ซึ่งเป็นแม่บ้านว่าพบเห็นจำเลยฉีกใบเสร็จรับเงินสีชมพูและสีน้ำตาลออกจากสมุดใบเสร็จรับเงิน นางสาวจารุวรรณแจ้งให้จำเลยนำใบเสร็จรับเงินนั้นไปติดไว้ในเสร็จรับเงิน แต่จำเลยไม่เชื่อ คำเบิกความของโจทก์ร่วมดังกล่าวสอดคล้องกับคำเบิกความของนางสาวสุวิมล เมื่อพิเคราะห์สำเนาใบเสร็จรับเงินแล้วปรากฏว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวลงวันที่ 9 มกราคม 2539 ซึ่งเป็นวันหยุดงานของนาวสาวปาริชาต จำปาศรี คงมีแต่จำเลยมาทำงานที่โรงเรียนร่วมกับนางสาวจารุวรรณแม่บ้านเท่านั้น ซึ่งจำเลยก็นำสืบรับว่าวันดังกล่าวจำเลยมาทำงานที่โรงเรียนเพียงผู้เดียว ตามสมุดใบเสร็จรับเงินก็ปรากฏว่าสำเนาใบเสร็จรับเงินเลขที่ 3313 ไม่มีต้นขั้วใบเสร็จรับเงินดังกล่าวอยู่แต่อย่างใดเพราะถูกฉีกออกไปแล้ว และจำเลยไม่ได้นำเงินค่าสมัครเรียนตามสำเนาใบเสร็จรับเงินจำนวน 3,200 บาท ส่งให้แก่โจทก์ร่วมตามทางปฏิบัติ ทั้งในชั้นพิจารณานางสาวสุวิมลพยานโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งถือว่าเป็นคนกลางชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้รับเงินค่าสมัครเรียนและฉีกใบเสร็จรับเงินทั้ง 3 ใบออกจากสมุดใบเสร็จรับเงินโดยตนเองยังทักท้วง ดังนั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมดังวินิจฉัยมาจึงมีน้ำหนักรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำให้เสียหายโดยฉีกใบเสร็จรับเงินและเอาไปเสียซึ่งเอกสารสำเนาใบเสร็จรับเงิน ทั้งลักทรัพย์เอาเงินสดค่าสมัครเรียนจำนวน 3,200 บาท ตามจำนวนเงินในสำเนาใบเสร็จรับเงินซึ่งเป็นของโจทก์ร่วมไปโดยทุจริต ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะโจทก์ร่วมเพิ่งได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนให้รับโอนโรงเรียนเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2539 หลังเกิดเหตุแล้ว เห็นว่า โจทก์ร่วมนำสืบว่าโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนภาษาอบาคัส โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกประเภทรวมทั้งเอกสารใบเสร็จรับเงินและเงินค่าสมัครเรียนจำนวน 3,200 บาท ซึ่งเป็นของกิจการโรงเรียนดังกล่าว ส่วนการได้รับอนุญาตให้โอนโรงเรียนเพื่อดำเนินกิจการในนามของโจทก์ร่วมเมื่อใดนั้น หาได้กระทบถึงความเป็นเจ้าของกิจการโรงเรียนของโจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายคดีนี้ เมื่อมีการรับเงินค่าสมัครเรียนดังกล่าวโดยมีการออกใบเสร็จรับเงินในนามของโรงเรียนโจทก์ร่วมให้แก่ผู้สมัครเรียน ซึ่งจำเลยลูกจ้างโจทก์ร่วมทำหน้าที่รับเงินค่าสมัครเรียนไว้ต้องส่งมอบเงินนั้นให้แก่โจทก์ร่วมผู้เป็นนายจ้าง การที่จำเลยเอาเอกสารใบเสร็จรับเงินและเงินดังกล่าวไปเสียโดยทุจริตย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 และ 335 (11) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share