คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7135/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เหตุคดีนี้เกิดเพราะจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อน และเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน มิใช่เป็นภยันอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าการกระทำเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้
การที่ผู้เสียหายถูกจำเลยรัดคอด้วยมือซ้าย ผู้เสียหายจึงดิ้นต่อสู้กอดปล้ำกับจำเลย จำเลยจึงไม่มีโอกาสเลือกแทง แต่แทงไปตามโอกาสที่จะอำนวยและไม่ได้ใช้กำลังแทงรุนแรงนัก ทั้งเมื่อจะแทงอีก ผู้เสียหายปัดมือ จำเลยจึงเปลี่ยนเป็นใช้ด้ามมีดกระแทกศีรษะผู้เสียหายแทน แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการแทงซ้ำ บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับมีบาดแผลบวมช้ำฉีกขาดกลางศีรษะและบาดแผลฉีกขาดหลังมือซ้ายตัดเอ็นนิ้วนางและนิ้วก้อยขาด ส่วนบาดแผลที่บริเวณหน้าอกด้านขวาระดับซี่โครงที่ 6 ไม่ปรากฏขนาดของบาดแผล ไม่ทะลุเข้าไปในช่องอก แสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงอย่างแรง กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
แม้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา จนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันก็ตาม แต่ตามคำฟ้องก็กล่าวว่าผู้เสียหายมีบาดแผลตามสำเนารายงานการชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องได้ระบุความเห็นว่ารักษาประมาณ 45 วันหาย และทางพิจารณาข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม ทั้งการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น รวมการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 297 ด้วย และเป็นความผิดได้ในตัวเอง ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 288 และริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 10 ปี คำให้การจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) จำคุก 6 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่แล้วคงจำคุก 4 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในวันฟ้อง ผู้เสียหายกับจำเลยได้ทะเลาะวิวาทชกต่อยกันในห้องพักของนายสมชัย แก้วกง ผู้เสียหายถูกอาวุธมีดได้รับบาดเจ็บที่บริเวณหน้าอกด้านขวา 1 แห่ง มีรอยบวมช้ำที่กลางศีรษะกับบาดแผลที่นิ้วนางและนิ้วก้อยมือซ้ายเส้นเอ็นขาดต้องรักษาประมาณ 45 วันหาย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายอุดม สังเกตุ ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา นายสมชัย นายอ้วนและจำเลยนั่งร่วมรับประทานอาหารและดื่มสุราที่บริเวณหน้าห้องพักของนายอ้วนซึ่งติดกับห้องพักของนายสมชัย ต่อมาผู้เสียหายนำอาหารมาร่วมรับประทานด้วยกัน หลังจากผู้เสียหายกลับไปสักพักหนึ่งก็กลับมานอนดูโทรทัศน์ที่ห้องของนายสมชัย ต่อมาเวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา ขณะที่ผู้เสียหายนอนดูโทรทัศน์ จำเลยเดินเข้ามาในห้องแล้วใช้เท้ากระทืบหน้าอกของผู้เสียหาย ผู้เสียหายตกใจลุกขึ้นพูดว่า กูทำอะไรให้มึง มึงถึงมากระทืบ นายอ้วนซึ่งนั่งดื่มสุราอยู่หน้าห้องได้เข้ามาลากตัวจำเลยออกไปนอกห้อง เมื่อผู้เสียหายเดินออกมาจากห้องมาที่เฉลียงหน้าห้อง จำเลยโหนขื่อแล้วใช้เท้าเตะที่ใบหน้าผู้เสียหายแล้วกระโดดลงมากอดผู้เสียหาย ผู้เสียหายกับจำเลยชกต่อยกัน จำเลยหยิบอาวุธมีดทำครัวในห้องครัวถือด้วยมือขวา แล้วใช้มือซ้ายรัดคอผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้มือซ้ายจับข้อมือขวาของจำเลย จำเลยสะบัดข้อมือ แล้วดึงอาวุธมีดออกทำให้บาดถูกนิ้วนางและนิ้วก้อยของผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยแทงที่ใต้ราวนมด้านขวาและด้านซ้ายของผู้เสียหายและจะแทงซ้ำอีก ผู้เสียหายใช้มือปัด จำเลยจึงใช้ด้ามมีดกระแทกศีรษะผู้เสียหายแล้วเหวี่ยงผู้เสียหายกระเด็นล้มลงไปพิงข้างฝาลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน จำเลยยืนคร่อมหันกันมาทางผู้เสียหาย โดยจำเลยจะแทงท้องผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้เท้าถีบจำเลยเสียหลักเซออกไป นายสมชัยและนายอ้วนเข้ามาจับตัวจำเลยไว้ ผู้เสียหายจึงวิ่งหนีออกมาได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจนุวัฒน์ จันทร์โททัย พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งไปที่เกิดเหตุในคืนนั้นว่า พยานพบจำเลยเนื้อตัวเปื้อนเลือดมีอาการมึนเมามาบอกพยานว่าเป็นผู้แทง แต่ไม่ได้แจ้งว่าแทงผู้ใด ประกอบกับในชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพ พฤติการณ์เชื่อได้ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยดื่มสุรามึนเมาจนเกือบจะครองสติไม่ได้ และเมื่อผ่านบริเวณที่ผู้เสียหายกำลังนอนดูโทรทัศน์ จำเลยจึงใช้เท้ากระทืบหน้าอกของผู้เสียหายโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน จนกระทั่งผู้เสียหายตกใจลุกขึ้นมาต่อว่าจำเลยแล้วเกิดโต้เถียงกันจึงเป็นชนวนการทะเลาะวิวาทชกต่อยกันจนจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายในที่สุด ที่จำเลยฎีกาว่าขณะที่ผู้เสียหายกับจำเลยแย่งอาวุธมีดกัน ผู้เสียหายคว้าอาวุธมีดได้ก่อนแต่จับทางด้านคมมีดและผู้เสียหายดึงเข้าหาตัว จำเลยดึงอาวุธมีดออก ปลายอาวุธมีดจึงกระแทกหน้าอกของผู้เสียหายโดยจำเลยไม่มีเจตนาจะแทง เพราะหากจะแทงจริงอาวุธมีดจะต้องทะลุเข้าไปในซี่โครง และการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวนั้น เห็นว่า เหตุคดีนี้เกิดเพราะจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อนและเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน มิใช่เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าการกระทำเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้ ส่วนที่จำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายหรือไม่นั้น เห็นว่า การที่ผู้เสียหายถูกจำเลยรัดคอด้วยมือซ้ายผู้เสียหายจึงดิ้นต่อสู้กอดปล้ำกับจำเลย จำเลยจึงไม่มีโอกาสเลือกแทง แต่แทงไปตามโอกาสที่จะอำนวยและไม่ได้ใช้กำลังแทงรุนแรงนัก ทั้งเมื่อจะแทงอีก ผู้เสียหายปัดมือ จำเลยจึงเปลี่ยนเป็นใช้ด้ามมีดกระแทกศีรษะผู้เสียหายแทน แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องการแทงซ้ำ ประกอบกับตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับมีบาดแผลบวมช้ำฉีกขาดกลางศีรษะและบาดแผลฉีกขาดหลังมือซ้ายตัดเอ็นนิ้วนางและนิ้วก้อยขาด ส่วนบาดแผลที่บริเวณหน้าอกด้านขวาระดับซี่โครงที่ 6 ไม่ปรากฏขนาดของบาดแผลไม่ทะลุเข้าไปในช่องอก แสดงว่าจำเลยไม่ได้แทงอย่างแรง กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเท่านั้น และบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายดังกล่าวตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่าต้องใช้เวลารักษาประมาณ 45 วันหาย ประกอบกับได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า บาดแผลเส้นเอ็นนิ้วนางและนิ้วก้อยที่ขาดในขณะที่มาเบิกความซึ่งเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึง 3 เดือนเศษ ผู้เสียหายยังทำกายภาพบำบัดอยู่ มือซ้ายใช้งานได้แต่นิ้วที่ได้รับบาดเจ็บสองนิ้วไม่มีแรง แสดงว่านิ้วทั้งสองของผู้เสียหายยังใช้งานไม่ได้ตามปกติ ฟังได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า โดยจำเลยชกต่อย เตะ ถีบที่บริเวณใบหน้าและลำตัวและใช้มีดทำครัวปลายแหลม 1 เล่ม เป็นอาวุธแทงผู้เสียหายหลายครั้งที่บริเวณทรวงอก บาดแผลฉีกขาดหลังมือซ้าย ตัดเอ็นของนิ้วนางและนิ้วก้อย บาดแผลฉีกขาดกลางศีรษะตามสำเนารายงานการชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง โดยมิได้บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันก็ตาม แต่ตามคำฟ้องก็กล่าวว่าผู้เสียหายมีบาดแผลตามสำเนารายงานการชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ได้ระบุความเห็นว่ารักษาประมาณ 45 วันหาย และทางพิจารณาข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบได้ความว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสดังข้อวินิจฉัยข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสม ทั้งการกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นรวมการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ด้วย และเป็นความผิดได้ในตัวเอง ดังนั้น ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยสถาบเบาหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยเป็นผู้ก่อเหตุขึ้นก่อน เมื่อทะเลาะวิวาทกันจำเลยยังใช้อาวุธมีดซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงแทงผู้เสียหายอีกด้วย ทั้งบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับแพทย์ลงความเห็นว่าต้องใช้เวลารักษาประมาณ 45 วัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยมานั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share