แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 รับอยู่แล้วว่าของกลางถูกยึดจากบ้านจำเลยที่ 1 ตามบันทึกการตรวจค้นก็ปรากฏมีลายมือชื่อผู้ครอบครองบ้านลงรับรองไว้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยมิได้มีการบังคับขู่เข็ญ เหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ซัดทอดว่าลักเอาทรัพย์ไปขายให้แก่จำเลยที่ 1 การไปตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นเรื่องของการกลั่นแกล้ง ส่วนการตรวจค้นจะมิชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เพราะเป็นการค้นโดยไม่มีหมายค้นเป็นเรื่องจะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357, 83 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 24,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4934/2543, 6296/2544, 7904/2544 ของศาลชั้นต้นและโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 7065/2543, 6668/2544 ของศาลชั้นต้น และนับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3242/2544 และ 5700/2544 ของศาลชั้นต้น และโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7270/2544 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 83 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6779/2545 (หมายเลขดำที่ 4934/2543) ของศาลชั้นต้น และโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4974/2545 (หมายเลขดำที่ 6668/2544) ของศาลชั้นต้น กับนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3242/2544 และ 5700/2544 และโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7270/2544 ของศาลชั้นต้น คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นที่ยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ มีคนร้ายลักเอาเครื่องเสียงและปรี-แอมป์ ของผู้เสียหายไปจากรถยนต์กระบะที่จอดไว้ข้างบ้าน ต่อมาร้อยตำรวจเอกยุทธยา พิชัย จับจำเลยที่ 2 ได้ แล้วจึงมีการไปยึดเอาทรัพย์สินหลายรายการจากบ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีปรี-แอมป์ของกลางที่ผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นของตนรวมอยู่ด้วย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจรดังที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย ร้อยตำรวจเอกยุทธยา พิชัย ผู้จับกุมจำเลยที่ 2 และร้อยตำรวจโทธนกร รอดเรือง พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า เหตุที่ผู้เสียหายจำได้เพราะปรี-แอมป์ของกลางมีรอยวาดรูปการ์ตูนที่ผู้เสียหายเป็นคนเขียนไว้ที่บริเวณด้านหน้า ส่วนร้อยตำรวจเอกยุทธยาเบิกความว่า จากการสืบสวนโดยละเอียดจึงทราบว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ลักทรัพย์และนำไปขายให้จำเลยที่ 1 จึงได้พาตัวจำเลยที่ 2 ไปชี้บ้านจำเลยที่ 1 ก่อนเข้าตรวจค้นจนพบและยึดทรัพย์สินหลายรายการรวมทั้งของกลางคดีนี้มาจากบ้านจำเลยที่ 1 และร้อยตำรวจโทธนกรพนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ถูกจับในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จึงได้ขออายัดตัวมาดำเนินคดี ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรฝ่ายจำเลยที่ 1 มีตัวจำเลยที่ 1 มานำสืบต่อสู้ว่าซื้อปรี-แอมป์ของกลางมาจากตลาดคลองถมซึ่งเป็นแหล่งขายสินค้าราคาถูกกว่าร้านค้า เห็นว่า คดีนี้มีการสืบทราบเหตุที่ไปตรวจค้นจนพบของกลางที่บ้านจำเลยที่ 1 เพราะมีจำเลยที่ 2 ไปนำชี้ดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบเจือสม ประกอบกับจำเลยที่ 2 ซึ่งถูกดำเนินคดีด้วยกันแม้จะปฏิเสธ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ลงโทษ จำเลยที่ 2 ก็มิได้อุทธรณ์ฎีกา มีผลเป็นการยอมรับตามคำพิพากษา ทำให้มีน้ำหนักในการรับฟัง ต่างจากจำเลยที่ 1 ที่มีแต่ตัวจำเลยที่ 1 มาเบิกความเพียงลำพังโดยไม่มีหลักฐานอื่นใดสนับสนุนพยานจำเลยที่ 1 จึงหาอาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 รับซื้อทรัพย์หลายรายการรวมทั้งปรี-แอมป์ของกลางของผู้เสียหายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่คนร้ายได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานรับของโจร ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาว่า โจทก์ได้นำของกลางชิ้นเดียวกันไปฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นอีกคดี เห็นว่า ตามบันทึกการตรวจค้นเอกสารหมาย จ.7 เจ้าพนักงานตรวจค้นและยึดทรัพย์สินไว้เป็นของกลางรวม 14 รายการ เฉพาะที่เป็นปรี-แอมป์ มีรวม 4 เครื่องและมีเครื่องหนึ่งตามรายการที่ 8 ระบุว่ามีวาดลายรูปการ์ตูน ซึ่งผู้เสียหายคดีนี้ชี้และยืนยันว่าปรี-แอมป์ของกลางเครื่องดังกล่าวเป็นของตนเพราะจำลายวาดได้เนื่องจากเป็นผู้เขียนลายด้วยตนเอง ต่างจากคดีที่อ้างเพราะผู้เสียหายในคดีนั้นว่าจำได้เนื่องจากที่ต่อสายท้ายเครื่องปรี-แอมป์ มีสายเก่าของเครื่องค้างไว้และไม่มีรูปการ์ตูนติดอยู่ แต่ที่พันตำรวจโทโชติช่วง ภาณุทัติ พนักงานสอบสวนในคดีนั้นเบิกความว่าเป็นของกลางรายการเดียวกับของกลางคดีนี้เข้าใจว่าเป็นความสับสนของพันตำรวจโทโชติช่วง กรณีจึงไม่ถึงกับมีเหตุอันควรสงสัยตามที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา สำหรับข้อที่จำเลยที่ 1 อ้างต่อไปว่าเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 โดยไม่มีหมายค้น จึงไม่น่ารับฟังเป็นพยานหลักฐานนั้น เห็นว่า ในปัญหานี้ จำเลยที่ 1 รับอยู่แล้วว่าของกลางถูกยึดจากบ้านจำเลยที่ 1 ตามบันทึกการตรวจค้นเอกสารหมาย จ.7 ก็ปรากฏมีลายมือชื่อผู้ครอบครองบ้านลงรับรองไว้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจปฏิบัติอยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยมิได้มีการบังคับขู่เข็ญ ร้อยตำรวจเอกยุทธยา พิชัย พยานโจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 1 แล้วว่าเหตุที่ไปตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ซัดทอดว่าลักเอาทรัพย์ไปขายให้แก่จำเลยที่ 1 การไปตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นเรื่องของการกลั่นแกล้ง ส่วนการตรวจค้นจะมิชอบด้วยกฎหมายอย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่ง พยานหลักฐานที่ได้มาดังกล่าวจึงสามารถรับฟังได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน