คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำรับสารภาพของจำเลยอันจะถือเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 จะต้องเป็นกรณีที่ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงจะพิจารณาลดโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ คดีนี้โจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานพฤติเหตุแวดล้อมแน่นหนามั่นคงและศาลอาศัยพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โดยไม่จำต้องอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสอง ประกอบกับรูปคดีที่โจทก์นำสืบน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน โดยจำเลยที่ 1 ถูกจับกุมได้ทันทีพร้อมของกลาง ส่วนจำเลยที่ 2 เพิ่งมาให้การรับสารภาพภายหลังจากมีการสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว หาใช่รับสารภาพเพราะสำนึกในความผิดไม่ คำรับสารภาพดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 อันจะมีเหตุสมควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ แต่เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2)), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและความผิดทั้งสองบทดังกล่าวมีอัตราโทษเท่ากัน จึงลงโทษฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพมาตลอด จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและหลังจากสืบพยานโจทก์ไปแล้วบางส่วนก็ตาม แต่เป็นเพราะจำนนต่อพยานหลักฐานประกอบกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันมีและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนถึง 200,000 เม็ด น้ำหนักรวม 19,540.24 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3,830.428 กรัม อันเป็นจำนวนมากและเป็นต้นเหตุทำให้ยาเสพติดให้โทษชนิดดังกล่าวแพร่ระบาดสู่ประชาชน และทำให้ประชาชนตกเป็นทาสยาเสพติดให้โทษเพิ่มมากขึ้น อันเป็นการทำลายทรัพยากรมนุษย์และบั่นทอนความสงบสุขของสังคมโดยส่วนรวม พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกถือเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง เห็นควรลงโทษสถานหนัก จึงให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 และที่ 2 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง สำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้อง คำขออื่นให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน แต่ให้คืนรถจักรยานยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางแก่เจ้าของ
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า มีเหตุสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยากจน กระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขอให้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ด้วยนั้น เห็นว่า คำรับสารภาพของจำเลยอันจะถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลจึงจะพิจารณาลดโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ การพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีนี้ปรากฏว่าโจทก์มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุและพยานพฤติเหตุแวดล้อมแน่นหนามั่นคง โดยเจ้าพนักงานตำรวจได้ปลอมตัวเป็นพ่อค้าไปติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ขณะส่งมอบแมทแอมเฟตามีนของกลางให้และจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ขณะรอรับเงินหลังจากมีการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางตามที่ตกลงขายแล้ว ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างเป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันด้วยตนเอง ทั้งยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นจำนวนมากถึง 200,000 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 3,830.428 กรัม หากมีการจำหน่ายไปจะส่งผลกระทบและสร้างปัญหาแก่สังคมและประเทศชาติเป็นอย่างมาก พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง ศาลได้อาศัยพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัยและพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อีก ประกอบกับรูปคดีที่โจทก์นำสืบมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมชั้นสอบสวน และจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาเพราะถูกจับกุมได้ทันทีพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนมาก ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาเมื่อสืบพยานโจทก์ได้บ้างแล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้สำนึกผิดในการกระทำ เพิ่งมาให้การรับสารภาพในภายหลังเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน หาใช่รับสารภาพเพราะสำนึกในความผิดไม่ คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 อันจะมีเหตุสมควรลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
??

??

??

??

2/2

Share