คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ตายกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่มีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำจึงแยกกันอยู่ วันเกิดเหตุผู้ตายกับจำเลยไปบ้านเกิดเหตุเพื่อตกลงปัญหาเรื่องครอบครัวแต่ตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงจะออกจากบ้าน ผู้ตายนำอาวุธปืนออกมาวางที่ปลายเตียงเพื่อขู่ให้จำเลยอยู่กับผู้ตายและที่ผู้ตายพูดขู่จำเลยขณะจำเลยขยับตัวจะวิ่งก็เป็นเพียงขู่ไม่ใช่จำเลยหนีไปเท่านั้น แต่จำเลยเกรงว่าผู้ตายจะใช้อาวุธปืนของกลางยิงจำเลย ทั้งที่ไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่จะส่อว่าผู้ตายจะทำเช่นนั้น จึงถือว่าไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ริบของกลาง
จำเลยให้การว่า ฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี รวมสองกระทงจำคุก 16 ปี คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและคำเบิกความในชั้นศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติว่า นายทองสูนย์ เหล่าพิลัย ผู้ตายกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน ผู้ตายกับจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำ จนที่สุดแยกกันอยู่โดยต่างฝ่ายต่างไปอยู่บ้านบิดามารดาของตนเอง จนวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2541 เวลาประมาณ 7 นาฬิกา ผู้ตายกับจำเลยมาที่บ้านเกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของผู้ตายและจำเลยเพื่อตกลงปัญหาเรื่องครอบครัว จนเวลาประมาณ 11 นาฬิกา จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ จำเลยเบิกความเป็นพยานว่า จำเลยตกลงจะกลับมาอยู่กับผู้ตาย แต่ผู้ตายต้องเลิกเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หลังจากตกลงแล้วผู้ตายออกจากบ้านไปประมาณ 15 ถึง 20 นาที ก็กลับมาเสพยาเสพติดอีก จำเลยจึงจะออกจากบ้าน ผู้ตายล้วงอาวุธปืนของกลางจากเอวมาวางที่ขอบเตียงพร้อมพูดทำนองว่าจะขังจำเลยไว้ในบ้าน ขณะนั้นผู้ตายนั่งเสพยาเสพติดอยู่บริเวณประตูห้อง ส่วนจำเลยนั่งอยู่ขอบเตียงห่างผู้ตายประมาณ 1 เมตร ต่อมาผู้ตายก้มลงเสพยาเสพติด จำเลยจึงขยับตัวจะวิ่ง ผู้ตายพูดว่า “มึงจะวอนซะแล้ว กูจะยิงให้ตายซะเลย” จำเลยจึงคว้าอาวุธปืนของกลาง ผู้ตายเข้ามาแย่งอาวุธปืน จำเลยจึงยิงผู้ตาย เห็นว่า ผู้ตายนำอาวุธปืนออกมาวางที่ปลายเตียงเพื่อขู่ให้จำเลยอยู่กับผู้ตาย และที่ผู้ตายพูดขณะจำเลยขยับตัวจะวิ่งก็เป็นเพียงขู่ไม่ให้จำเลยหนีไปเท่านั้น แต่จำเลยเกรงว่าผู้ตายจะใช้อาวุธปืนของกลางยิงจำเลย ทั้งที่ไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่จะส่อว่าผู้ตายจะทำเช่นนั้น จึงถือว่าไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมาย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share