แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
พฤติการณ์จำเลยที่ 2 ที่พาสิบตำรวจโท อ. และสายลับไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เจรจาและต่อรองราคากับสิบตำรวจโท อ. และสายลับด้วยตนเอง โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนร่วมเจรจาด้วย เมื่อตกลงซื้อขายกันได้แล้ว จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนที่ซุกซ่อนไว้มามอบให้สิบตำรวจโท อ. และสายลับ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจตัดสินใจในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว การตัดสินใจซื้อขายและตกลงราคาขึ้นอยู่กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ชั้นจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อฉบับละ 500 บาท เพียงฉบับเดียวที่จำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับในทันทีว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ 2 ให้เป็ฯค่านายหน้าที่พาคนมาซื้อเมทแอมเฟตามีน การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าเป็นตัวการกระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หากแต่เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้กระทรวงสาธารณสุข และเงินจำนวน 29,160 บาท คืนธนบัตรจำนวน 6,000 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 6 ปี และจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี สำหรับความผิดข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ริบเงินจำนวน 29,160 บาท และเมทแอมเฟตามีนของกลาง ให้คืนธนบัตรจำนวน 6,000 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) คืนเงินของกลางจำนวน 29,160 บาท แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งข้อเท็จจริงฟังยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจวางแผนไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน โดยสิบตำรวจโทอำนาจ ป้านสุวรรณ แต่งกายนอกเครื่องแบบพร้อมกับสายลับเดินทางไปที่บ้านของจำเลยที่ 2 เพราะสืบทราบมาว่าจำเลยที่ 1 จะขายเมทแอมเฟตามีนให้เฉพาะคนรู้จักเท่านั้น และต้องซื้อผ่านจำเลยที่ 2 สายลับเจรจาขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 80 เม็ดกับจำเลยที่ 2 ในราคาเดิม แต่จำเลยที่ 2 แจ้งว่าซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากต้องไปเจรจากับจำเลยที่ 1 เอง เมื่อจำเลยที่ 2 พาสิบตำรวจโทอำนาจและสายลับไปบ้านของจำเลยที่ 1 แล้ว สิบตำรวจโทอำนาจและสายลับเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนที่ซุกซ่อนไว้บริเวณหน้าบ้านมามอบให้แก่สิบตำรวจโทอำนาจและสายลับ ชั้นจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจยึดธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อฉบับละ 500 บาท ที่จำเลยที่ 2 และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้ออีก 11 ฉบับ กับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 32 เม็ด ในบ้านของจำเลยที่ 1 เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่พาสิบตำรวจโทอำนาจและสายลับไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เจรจาซื้อขายและต่อรองราคากับสิบตำรวจโทอำนาจและสายลับด้วยตนเอง โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนร่วมเจรจาด้วย เมื่อตกลงซื้อขายกันได้แล้วจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนที่ซุกซ่อนไว้มามอบให้สิบตำรวจโทอำนาจและสายลับ แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจตัดสินใจในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว การตัดสินใจซื้อขายและตกลงราคาขึ้นอยู่กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น ชั้นจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อฉบับละ 500 บาท เพียงฉบับเดียวที่จำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ยอมรับในทันทีว่าเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ให้เป็นค่านายหน้าที่พาคนมาซื้อเมทแอมเฟตามีน การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าเป็นตัวการกระทำความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หากแต่เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ได้ เนื่องจากเป็นข้อแตกต่างที่มิใช่ข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของำจเลยที่ 2 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำคุก 4 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย 2 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7