แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่สิบตำรวจตรี ส. เบิกความว่า เมื่อวิ่งไล่ตามจำเลยจนทันแล้วจำเลยหันกลับมาใช้มือปัดป้องไม่ยอมให้พยานเข้ามาใกล้ตัว เมื่อพยานเข้าไปกอดและพยานให้จำเลยคว่ำหน้าลง จำเลยล้มลงพร้อมกับพยาน จากนั้นพยานสั่งให้จำเลยนอนอยู่เฉยๆ แล้วพยานใส่กุญแจข้อมือและให้จำเลยลุกขึ้น โดยไม่ปรากฏว่าพยานเบิกความว่าจำเลยใช้เท้าถีบหรือใช้มือผลักอก อันเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายแต่อย่างใดการที่จำเลยปัดป้องไม่ยอมให้สิบตำรวจตรี ส. เข้าใกล้ตัว การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง นับโทษต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2828/2543 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 (ที่ถูก 138 วรรคสอง), 91 เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี ฐานต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุก 6 เดือน รวมโทษจำเลยคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 3 เดือน นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2828/2543 ของศาลชั้นต้นริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 และให้ยกคำขอนับโทษต่อของโจทก์ ส่วนโทษนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยโดยกล่าวหาว่ามีเฮโรอีน 1 หลอด และเมทแอมเฟตามีน 21 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้าย สำหรับความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตคดีเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ด้วยหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกจำลอง ใจเย็น และสิบตำรวจตรีเสริม ชัยคำร้อง เจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความในทำนองเดียวกันได้ความตามที่กล่าวไว้ในทางนำสืบของโจทก์ข้างต้น เห็นว่า ขณะที่สิบตำรวจตรีเสริมวิ่งไล่ตามจำเลยไปนั้น ร้อยตำรวจเอกจำลองไม่ได้วิ่งตามไปด้วยสิบตำรวจตรีเสริมเบิกความว่า เมื่อวิ่งทันจำเลยแล้วจำเลยหันกลับมาใช้มือปัดป้องไม่ยอมให้พยานเข้ามาใกล้ตัว เมื่อพยานเข้าไปกอดและพยานให้จำเลยคว่ำหน้าลงจำเลยล้มลงพร้อมกับพยาน จากนั้นพยานสั่งให้จำเลยนอนอยู่เฉยๆ แล้วพยานใส่กุญแจข้อมือและให้จำเลยลุกขึ้น โดยไม่ปรากฏว่าพยานเบิกความว่าจำเลยใช้เท้าถีบหรือใช้มือผลักอกอันเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายแต่อย่างใด การที่จำเลยปัดป้องไม่ยอมให้สิบตำรวจตรีเสริมเข้าใกล้ตัว การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน