คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7550/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยทั้งห้าตกลงมอบหมายให้โจทก์ไปติดต่อขายที่ดินทั้งห้าแปลง โจทก์จึงได้ไปติดต่อขายที่ดินให้แก่ ส. แต่ที่โจทก์นำสืบว่า ส. ไปตรวจดูที่ดินแล้วพอใจ ส. และจำเลยทั้งห้าจึงตกลงทำสัญญาซื้อขายกันที่บ้านของ ส. โดยโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาซื้อขายด้วยนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะโจทก์ไม่มีหลักฐานสัญญาซื้อขายที่กล่าวอ้างมาแสดง คงมีแต่คำเบิกความลอยๆ เท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำงานเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ได้ติดต่อกับ ส. และจำเลยทั้งห้าเกี่ยวกับเรื่องซื้อขายที่ดินนี้อีก ข้อเท็จจริงจึงเชื่อตามที่จำเลยทั้งห้านำสืบต่อมาโดยมีหลักฐานเป็นพยานเอกสารสนับสนุนว่า อ. บุตรเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการติดต่อกับ ส. ต่อมา โดย ส. อ้างว่าไม่มีเงินมาซื้อที่ดินทั้งห้าแปลงของจำเลยทั้งห้า แต่ถ้าจะนำที่ดินมาร่วมลงทุนกันและหากำไรมาแบ่งกันก็สามารถทำได้ ข้อตกลงที่ว่าให้นำที่ดินมาร่วมลงทุนและหากำไรมาแบ่งกัน จึงเป็นข้อตกลงและวัตถุประสงค์ใหม่ซึ่งจำเลยทั้งห้าต้องนำไปปรึกษาหาหรือกันและตัดสินใจกันใหม่ว่าจะรับข้อเสนอใหม่นี้หรือไม่ แสดงว่าการชี้ช่องของโจทก์ที่ต้องการให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินให้แก่ ส. นั้นไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจาก ส. ไม่มีเงินซื้อ การตกลงนำที่ดินเข้าร่วมลงทุนกับ ส. แล้วนำกำไรมาแบ่งกันภายหลัง จึงเป็นวัตถุประสงค์ใหม่ของจำเลยทั้งห้าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์และไม่อยู่ในกรอบวัตถุประสงค์เดิม เพราะการเข้าร่วมลงทุนนั้นเป็นการนำเอาที่ดินของจำเลยทั้งห้ามาเข้าร่วมกับ ส. และให้ ส. เป็นผู้บริหารจัดการโดยจำเลยทั้งห้าได้เข้าร่วมเป็นเจ้าของโดยรับหุ้นของบริษัท บ. ของ ส. ซึ่งเป็นข้อตกลงใหม่ การเข้าร่วมลงทุนกับ ส. ตามข้อตกลงใหม่ดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งห้าขายที่ดินได้สำเร็จแล้วด้วยการชี้ช่องของโจทก์ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการขายที่ดินในรูปแบบใหม่ ซึ่งในที่สุดข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าทราบว่าถูก ส. หลอกลวง จำเลยทั้งห้าจึงได้ฟ้องเรียกที่ดินทั้งห้าแปลงคืนจากบริษัท บ. และ ส. กับพวก และศาลพิพากษาตามยอมให้คืนที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวแก่จำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์สามารถชี้ช่องให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินตามฟ้องจนสำเร็จวัตถุประสงค์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจำเลยทั้งห้าตามที่ตกลงกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าได้มอบหมายให้โจทก์เป็นตัวแทนในการติดต่อเสนอขายที่ดินจำนวน 5 แปลง ต่อมาโจทก์เสนอขายที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวให้แก่นายสมยศ นิ่มกรชัย นายสมยศกับจำเลยทั้งห้าได้ตกลงเข้าทำสัญญาจะซื้อขายกันตามการชี้ช่องของโจทก์ และจำเลยทั้งห้าได้จดทะเบียนขายที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่นายสมยศในนามของบริษัทบุญส่งเสริมพัฒนาที่ดิน จำกัด ซึ่งมีนายสมยศเป็นกรรมการผู้จัดการ ถือได้ว่าโจทก์ได้ดำเนินการเสนอขายที่ดินและชี้ช่องให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อสำเร็จตามวัตถุประสงค์แล้ว ต่อมาโจทก์ขอรับเงินค่านายหน้าและเงินส่วนเกินของราคาที่ดินที่โจทก์เสนอขายได้ตามที่ตกลงกันไว้จากจำเลยทั้งห้า แต่จำเลยทั้งห้าไม่จ่ายเงินให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 283,220 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 261,475 บาท จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน 720,225 บาท จำเลยที่ 4 ชำระเงินจำนวน 261,120 บาท จำเลยที่ 5 ชำระเงินจำนวน 1,858,900 บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยทั้งห้าไม่เคยมอบให้โจทก์เป็นตัวแทนติดต่อขายที่ดินให้และไม่เคยตกลงให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ จำเลยทั้งห้าโอนขายที่ดินทั้งห้าแปลงให้แก่บริษัทบุญส่งเสริมพัฒนาที่ดิน จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชำระเงินคนละ 45,000 บาท และจำเลยที่ 5 ชำระเงินจำนวน 60,000 บาท ให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม นางสาวณัฐกานต์ เรืองจำรัส ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยคู่ความมิได้โต้แย้งว่า นายสมยศและจำเลยทั้งห้าเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทบุญส่งเสริมพัฒนาที่ดิน จำกัด ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ต่อมาจำเลยทั้งห้าได้ทำสัญญาขายที่ดินของตนให้แก่บริษัทบุญส่งเสริมพัฒนาที่ดิน จำกัด คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าในประเด็นข้อพิพาทข้อแรกว่า โจทก์เป็นผู้ชี้ช่องให้จำเลยทั้งห้าทำสัญญาขายที่ดินหรือไม่ เห็นว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งห้านำสืบ โจทก์อ้างว่ารู้จักกับนายพนม บุตรชายจำเลยที่ 1 มานานกว่า 20 ปีแล้วตั้งแต่ตอนที่นายพนมไปเรียนอยู่โรงเรียนป่าไม้จังหวัดแพร่ นายพนมเป็นคนติดต่อกับโจทก์เรื่องที่ดินของจำเลยทั้งห้า จำเลยทั้งห้าไม่ได้นำสืบโต้แย้งในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าโจทก์รู้จักกับนายพนมบุตรชายของจำเลยที่ 1 มานานกว่า 20 ปี และนายพนมได้ติดต่อกับโจทก์จริง ส่วนคำเบิกความของนายโอฬารที่อ้างว่ารู้จักกับนายสมยศเพราะไปรับประทานอาหารแล้วพรรคพวกของนายโอฬารแนะนำให้รู้จักนายโอฬารจึงเป็นคนนำนายสมยศไปพบจำเลยที่ 1 เพราะนายสมยศสนใจเกี่ยวกับการนำที่ดินไปจัดสรรนั้น เป็นคำกล่าวอ้างลอย ๆ เพียงปากเดียวของนายโอฬารโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงเชื่อว่าในตอนแรกจำเลยทั้งห้าตกลงมอบหมายให้โจทก์ไปติดต่อขายที่ดินทั้งห้าแปลงตามฟ้องจริง โจทก์จึงได้ไปติดต่อขายที่ดินให้แก่นายสมยศ แต่ที่โจทก์นำสืบว่านายสมยศไปตรวจดูที่ดินแล้วพอใจ วันที่ 10 ธันวาคม 2537 นายสมยศและจำเลยทั้งห้าจึงตกลงทำสัญญาซื้อจขายกันที่บ้านของนายสมยศโดยโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาซื้อขายด้วยนั้น ไม่น่าเชื่อเพราะโจทก์ไม่มีหลักฐานสัญญาซื้อขายที่กล่าวอ้างมาแสดง คงมีแต่คำเบิกความลอยๆ เท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทำงานเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ไม่ได้ติดต่อกับนายสมยศและจำเลยทั้งห้าเกี่ยวกับเรื่องซื้อขายที่ดินนี้อีก ข้อเท็จจริงจึงเชื่อตามที่จำเลยทั้งห้านำสืบต่อมาโดยมีหลักฐานเป็นพยานเอกสารสนับสนุนว่า นายโอฬารบุตรเขยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการติดต่อกับนายสมยศต่อมา โดยนายสมยศอ้างว่าไม่มีเงินมาซื้อที่ดินทั้งห้าแปลงของจำเลยทั้งห้า แต่ถ้าจะนำที่ดินมาร่วมลงทุนกันและหากำไรมาแบ่งกันก็สามารถทำได้ ข้อตกลงที่ว่าให้นำที่ดินมาร่วมลงทุนและหากำไรมาแบ่งกันจึงเป็นข้อตกลงและวัตถุประสงค์ใหม่ซึ่งจำเลยทั้งห้าต้องนำไปปรึกษาหารือกันและตัดสินใจกันใหม่ว่าจะรับข้อเสนอใหม่นี้หรือไม่ แสดงว่าการชี้ช่องของโจทก์ที่ต้องการให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินให้แก่นายสมยศนั้นไม่เป็นผลสำเร็จเนื่องจากนายสมยศไม่มีเงินซื้อ การตกลงนำที่ดินเข้าร่วมลงทุนกับนายสมยศแล้วนำกำไรมาแบ่งกันภายหลังจึงเป็นวัตถุประสงค์ใหม่ของจำเลยทั้งห้าไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์และไม่อยู่ในกรอบวัตถุประสงค์เดิม เพราะการเข้าร่วมลงทุนนั้นเป็นการนำเอาที่ดินของจำเลยทั้งห้ามาเข้าร่วมกับนายสมยศ และให้นายสมยศเป็นผู้บริหารจัดการโดยจำเลยทั้งห้าได้เข้าร่วมเป็นเจ้าของโดยรับหุ้นของบริษัทบุญส่งเสริมพัฒนาที่ดิน จำกัด ของนายสมยศซึ่งเป็นข้อตกลงใหม่ การเข้าร่วมลงทุนกับนายสมยศตามข้อตกลงใหม่ดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าจำเลยทั้งห้าขายที่ดินได้สำเร็จแล้วด้วยการชี้ช่องของโจทก์ แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการขายที่ดินในรูปแบบใหม่ซึ่งในที่สุดข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าทราบว่าถูกนายสมยศหลอกลวง จำเลยทั้งห้าจึงได้ฟ้องเรียกที่ดินทั้งห้าแปลงคืนจากบริษัทบุญส่งเสริมพัฒนาที่ดิน จำกัด และนายสมยศกับพวก และศาลพิพากษาตามยอมให้คืนที่ดินทั้งห้าแปลงดังกล่าวแก่จำเลยทั้งห้าแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์สามารถชี้ช่องให้จำเลยทั้งห้าขายที่ดินตามฟ้องจนสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้าจากจำเลยทั้งห้าตามที่ตกลงกันที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งห้าฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share