แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 ทราบกำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้องโดยชอบแล้ว มีหน้าที่จะต้องมาศาลตามกำหนดนัด แต่ในวันนัดฝ่ายโจทก์ที่ 1 กลับไม่มีผู้ใดมาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ถึงแม้จะปรากฏว่าการส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 โดยวิธีปิดหมายยังไม่มีผลใช้ได้ตามกฎหมายดังที่ฝ่ายโจทก์ที่ 1 กล่าวอ้าง ก็หาทำให้ฝ่ายโจทก์ที่ 1 หมดหน้าที่ที่จะต้องมาศาลตามกำหนดนัดไม่
ทนายโจทก์ที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจอาการป่วยตามที่อ้างเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2539 อันเป็นวันก่อนวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง แสดงว่าทนายโจทก์ที่ 1 รู้ตัวว่าตนมีอาการป่วยไม่สามารถมาศาลได้ตั้งแต่ก่อนวันนัดแล้ว และย่อมทราบดีว่าเหตุป่วยเจ็บเป็นเหตุที่อาจขอเลื่อนคดีได้ เพราะเป็นเหตุอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ ทนายโจทก์ที่ 1 ก็น่าจะติดต่อให้โจทก์ที่ 1 มาศาล หรือมานำคำร้องขอเลื่อนคดีที่สำนักงานทนายความของทนายโจทก์ที่ 1 มายื่นต่อศาลอันอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ แต่ทนายโจทก์ที่ 1 ก็หาได้ยื่นคำร้องแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบถึงเหตุแห่งความจำเป็นดังกล่าวเพื่อขอเลื่อนคดีไม่ พฤติการณ์ของฝ่ายโจทก์ที่ 1 ส่อลักษณะเป็นการประวิงคดี ทำให้ฝ่ายจำเลยได้รับความเดือดร้อน ทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่าช้า กรณีจึงไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ยกคดีในส่วนของโจทก์ที่ 1 ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 137, 172, 174, 175, 180, 181, 269, 309, 337, 83, 86, 80, 90, 91, 33, 35 และนับโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5216/2539 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 18 ธันวาคม 2539 เวลา 9 นาฬิกา โจทก์ที่ 1 ทราบนัดแล้ว เมื่อถึงกำหนดวันและเวลานัด โจทก์ที่ 1 ไม่มาศาล ไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกฟ้องเฉพาะโจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 วรรคหนึ่ง
โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องว่า มิได้จงใจไม่มาศาลตามกำหนดนัด ขอให้ยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของโจทก์ที่ 1 ไม่มีเหตุให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 4 ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ว่า มีเหตุสมควรที่จะยกคดีในส่วนของโจทก์ที่ 1 ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่หรือไม่ โดยโจทก์ที่ 1 ฎีกาสรุปใจความสำคัญไว้ว่ามีเหตุสมควรที่ศาลจะยกคดีในส่วนของโจทก์ที่ 1 ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่เพราะบทบัญญัติมาตรา 166 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มิได้เป็นบทบัญญัติเด็ดขาดว่า ถ้าโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัด ศาลจะต้องยกฟ้องเพียงอย่างเดียว หากแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งเลื่อนคดีไปได้ เหตุที่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้มาศาลในวันที่ 18 ธันวาคม 2539 เวลา 9 นาฬิกา ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องนั้น เป็นเพราะโจทก์ที่ 1 ได้ตรวจรายงานการเดินหมายแล้วปรากฏว่าส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 โดยวิธีปิดหมาย เมื่อนับถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้องยังไม่ล่วงพ้นกำหนดเวลา 15 วันนับตั้งแต่วันปิดซึ่งไม่มีผลใช้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ทั้งทนายจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ก็ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี จึงเป็นการแน่นอนว่าศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องไป ประกอบกับทนายโจทก์ที่ 1 ป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ซึ่งเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้นั้น เห็นว่า บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 ได้กำหนดหน้าที่ของโจทก์ว่าในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์จะต้องมาศาลตามกำหนดนัด มิฉะนั้นก็ให้ศาลยกฟ้องเสีย เว้นแต่จะมีเหตุสมควรศาลจึงจะให้เลื่อนคดีไป จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะเร่งรัดการดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วมิให้มีการประวิงคดี จึงได้กำหนดมาตรการดังกล่าวเพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นย่อมเสี่ยงต่อการที่จะถูกยกฟ้องอันเป็นผลเสียต่อคดีของโจทก์เอง เกี่ยวกับคดีนี้ ศาลได้นัดไต่สวนมูลฟ้องคดีโจทก์ทั้งสามวันที่ 18 ธันวาคม 2539 เวลา 9 นาฬิกา ฝ่ายโจทก์ที่ 1 ก็ทราบกำหนดนัดโดยชอบแล้วมีหน้าที่จะต้องมาศาลตามกำหนดนัดแต่ในวันนัดฝ่ายโจทก์ที่ 1 กลับไม่มีผู้ใดมาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ถึงแม้ว่าจะปรากฏว่าการส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 โดยวิธีปิดหมายยังไม่มีผลใช้ได้ตามกฎหมายดังที่ฝ่ายโจทก์ที่ 1 กล่าวอ้าง ก็หาทำให้ฝ่ายโจทก์ที่ 1 หมดหน้าที่ที่จะต้องมาศาลตามกำหนดนัดไม่ ทั้งในเรื่องการส่งหมายนัดและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าวที่ยังไม่มีผลใช้ได้ตามกฎหมายนั้นตามคำร้องของโจทก์ที่ 1 ที่ขอให้ยกคดีขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่ตลอดจนตามทางไต่สวนทนายโจทก์ที่ 1 ก็รับอยู่ว่าจากการตรวจสำนวนตามความปรากฏว่าฝ่ายจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ได้ตั้งทนายความเข้ามาในคดี แสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้รับหมายนัดและสำเนาคำฟ้องแล้ว กรณีเช่นนี้ทนายโจทก์ที่ 1 ย่อมทราบดีว่าศาลอาจไต่สวนมูลฟ้องคดีโจทก์ทั้งสามไปได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสาม ส่วนที่โจทก์ที่ 1 กล่าวอ้างด้วยว่าทนายโจทก์ที่ 1 ป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ซึ่งเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้นั้น เห็นว่า ทนายโจทก์ที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจอาการป่วยตามที่อ้างเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2539 ก่อนวันที่ 18 ธันวาคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องแสดงว่าทนายโจทก์ที่ 1 รู้ตัวว่าตนมีอาการป่วยไม่สามารถมาศาลได้ตามที่อ้างตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2539 ซึ่งเป็นวันก่อนวันนัดไต่สวนมูลฟ้องแล้ว และทนายโจทก์ที่ 1 ก็ย่อมทราบดีว่าเหตุป่วยเจ็บจะเป็นเหตุที่อาจจะขอเลื่อนคดีได้ เพราะเป็นเหตุอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ ทนายโจทก์ที่ 1 ก็น่าจะติดต่อแจ้งให้ตัวโจทก์ที่ 1 มาศาล หรือมานำคำร้องขอเลื่อนคดีที่สำนักงานทนายความของโจทก์ที่ 1 มายื่นต่อศาลอันอยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ แต่ทนายโจทก์ที่ 1 ก็หาได้ยื่นคำร้องแจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบถึงเหตุแห่งความจำเป็นดังกล่าวเพื่อขอเลื่อนคดีไม่ กลับได้ความจากคำเบิกความของทนายโจทก์ที่ 1 ว่า ทนายโจทก์ที่ 1 ได้แจ้งแก่ตัวโจทก์ที่ 1 ว่า ไม่ต้องมาศาลในวันกำหนดนัด จากพฤติการณ์ของฝ่ายโจทก์ที่ 1 ดังที่ได้วินิจฉัยมาประกอบกัน จะเห็นได้ว่าโจทก์ที่ 1 ฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีอาญา แต่ฝ่ายโจทก์ที่ 1 ไม่เอาใจใส่ในการดำเนินกระบวนพิจารณาส่อลักษณะเป็นการประวิงคดี ทำให้จำเลยทั้งหกได้รับความเดือดร้อน ทั้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลล่าช้า กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ยกคดีในส่วนของโจทก์ที่ 1 ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ยกคดีในส่วนของโจทก์ที่ 1 ขึ้นไต่สวนมูลฟ้องใหม่นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน