คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1890/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกฐานความผิดทั้งสองไว้คนละข้อ แต่ถ้าอ่านคำฟ้องโจทก์ตลอดแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำผิดในคราวเดียวกันโดยหลอกลวงผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียได้ เมื่อโจทก์ฟ้องว่า ข. ยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความเท็จว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถหางานและส่งผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียได้ เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอยู่ในตัวว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คงมีเจตนาหลอกลวงเพื่อจะได้เงินจากผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพศาลก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341 ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 918,400 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด และนับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1754/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 ปี ฐานร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานให้ทำในต่างประเทศได้ กับร่วมกันฉ้อโกงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 91 ตรี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี 12 เดือน ให้จำเลยกับพวก (ที่ถูกให้จำเลย) คืนเงินจำนวน 918,400 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์ฐานร่วมกันจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายประการเดียวว่า จำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยเรียกและรับค่าบริการจากผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดเป็นเงินตอบแทนโดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดฐานจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดคนละกรรมกับความผิดฐานหลอกลวงผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดว่าสามารถหางานทำให้ในต่างประเทศได้และความผิดฐานฉ้อโกง โจทก์แยกบรรยายฟ้องไว้คนละข้อและองค์ประกอบความผิดทั้งสองฐานแตกต่างกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตเนื่องจากการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานดังกล่าวนั้น เห็นว่า แม้โจทก์บรรยายฟ้องแยกฐานความผิดทั้งสองไว้คนละข้อก็ตาม แต่ถ้าอ่านคำฟ้องโจทก์ตลอดแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำผิดในคราวเดียวกันโดยหลอกลวงผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียได้ เมื่อฟ้องโจทก์ข้อ ข. ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความเท็จว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถหางานและส่งผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลียได้เป็นเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอยู่ในตัวว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ด คงมีเจตนาหลอกลวงเพื่อจะได้เงินจากผู้เสียหายทั้งยี่สิบเอ็ดเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share