แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยยื่นฟ้องอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ทำความผิดตามฟ้องแล้วลงชื่อผู้อุทธรณ์และผู้เขียนหรือพิมพ์ จำเลยไม่ได้ลงชื่อผู้เรียงฟ้องอุทธรณ์ ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะต้องมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยผู้ยื่นฟ้องอุทธรณ์แก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 161
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 4, 14, 31 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 5, 6, 7, 54, 69, 70, 72 ตรี, 74, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบไม้ท่อนของกลาง ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ และให้จำเลยจ่ายเงินสินบนนำจัยตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง (2), 70, 72, 72 ตรี วรรคหนึ่ง และวรรคสาม, 74, 74 จัตวา การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานยึดถือครอบครองทำประโยชน์ อยู่อาศัย ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานก่นสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่นตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ให้ลงโทษฐานยึดถือครอบครองทำประโยชน์ อยู่อาศัย ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานมีไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 ปี คำรับในชั้นพิจารณาของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานยึดถือครอบครอง ทำประโยชน์ อยู่อาศัย ก่นสร้าง แผ้วถาง เผาป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานมีไม้หวงห้ามยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 ปี 3 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 9 เดือน ริบไม้ท่อนของกลาง และให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ ส่วนที่โจทก์ขอให้จ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย เนื่องจากคดีนี้ศาลพิพากษาจำคุกสถานเดียวไม่ได้พิพากษาลงโทษปรับด้วย จึงไม่อาจให้จ่ายสินบนนำจับได้ ให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงประการเดียวว่า จำเลยไม่ได้ลงชื่อในฐานะผู้เรียงฟ้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยและพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า หากศาลอุทธรณ์ภาค 6 เห็นว่าฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้เรียง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ต้องสั่งให้จำเลยแก้ไขฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยก่อนนั้น เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) บัญญัติว่า “ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี… (7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง” แต่จำเลยยื่นฟ้องอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ได้ทำความผิดตามฟ้องแล้วลงชื่อผู้อุทธรณ์และผู้เขียนหรือพิมพ์ จำเลยไม่ได้ลงชื่อผู้เรียงฟ้องอุทธรณ์ ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะต้องมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยผู้ยื่นฟ้องอุทธรณ์แก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ด่วนพิพากษาไม่รับวินิจฉัยและยกอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ได้ให้จำเลยแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงลายมือชื่อในฐานะผู้เรียงในฟ้องอุทธรณ์เสียให้ถูกต้อง แล้วให้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี