คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 318/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายตั้งใจจะหาเรื่องจำเลย เนื่องจากมีสาเหตุทะเลาะวิวาทกันมาก่อน ถือได้ว่าการกระทำของผู้เสียหายเป็นอันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันตนเองได้ แต่การที่ผู้เสียหายเพียงแค่ใช้อาวุธมีดดาบปัดอาวุธปืนของจำเลยไปมาและท้าให้จำเลยยิงโดยมิได้เงื้ออาวุธมีดดาบขึ้นในลักษณะจะฟันทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายถูกบริเวณไหปลาร้าขวาซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกายจึงไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แต่เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 4 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายและจำเลยกับพวกหลายคนร่วมดื่มสุรากันที่บ้านจำเลย ผู้เสียหายกับจำเลยมีเหตุโต้เถียงกันแล้วจำเลยถีบผู้เสียหายและไล่ผู้เสียหายออกจากบ้านจำเลยไป ประมาณ 30 นาทีต่อมา ผู้เสียหายย้อนกลับมาบ้านจำเลยโดยถือาวุธมีดดาบยาวประมาณ 80 เซนติเมตร มาด้วย เมื่อผู้เสียหายขึ้นมาบนบ้านและเดินเข้าหาจำเลย จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวจ้องใส่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้อาวุธมีดดาบปัดอาวุธปืนของจำเลยไปมา และท้าให้จำเลยยิง จำเลยจึงยิงใส่ผู้เสียหายไป 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายบริเวณไหปลาร้าด้านขวาได้รับบาดเจ็บ มีบาดแผลตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากผู้เสียหายเดินเข้ามาหาเรื่องจำเลย โดยผู้เสียหายถืออาวุธมีดดาบในลักษณะจะทำร้ายจำเลย จำเลยตกอยู่ในภาวะถูกต้อนจนมุมไม่อาจหลบเลี่ยงไปไหนได้ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อาวุธปืนที่มีอยู่ในมือยิงผู้เสียหายป้องกันตัว จำเลยตั้งใจยิงที่แขนเพื่อให้ผู้เสียหายหยุดใช้อาวุธมีดดาบ จำเลยไม่ได้มีเจตนาเล็งยิงบริเวณหน้าอก เห็นว่า ตามคำเบิกความของนายเติม นาพิมพ์ นายสุนทร แพงวงศ์ และนายมนตรี สีสมน้อย ประจักษ์พยานโจทก์ได้ความสอดคล้องตรงกันว่า ก่อนจำเลยยิงผู้เสียหายนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนจ้องผู้เสียหายและบอกให้ผู้เสียหายถอยไปผู้เสียหายก็ใช้อาวุธมีดดาบปัดปากกระบอกปืนไปมาและทำให้จำเลยยิง จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และผู้เสียหายทรุดลง โดยพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวต่างเป็นญาติพี่น้องของผู้เสียหายและจำเลย จึงไม่มีเหตุระแวงว่าจะร่วมกันเบิกความให้ผิดจากที่ตนรู้เห็นเพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายใด ที่จำเลยเบิกความปากเดียวลอย ๆ ว่า ผู้เสียหายเงื้ออาวุธมีดดาบขึ้นในลักษณะจะฟันจำเลยและต้อนจำเลยไปจนมุมไม่อาจหลบเลี่ยงนั้น จึงไม่อาจรับฟังหักล้างได้ ข้อเท็จจริงต้องฟังว่า การกระทำของผู้เสียหายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายตั้งใจจะหาเรื่องจำเลย เนื่องจากมีสาเหตุทะเลาะวิวาทกันมาก่อน ซึ่งถือได้ว่าการกระทำของผู้เสียหายเป็นอันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันตนเองได้ แต่การที่ผู้เสียหายเพียงแค่ใช้อาวุธมีดดาบปัดอาวุธปืนของจำเลยไปมาและท้าให้จำเลยยิงโดยมิได้เงื้ออาวุธมีดดาบขึ้นในลักษณะจะฟันทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายถูกบริเวณไหปลาร้าขวาซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย จึงไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แต่เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยเนื่องจากจำเลยไม่เคยกระทำความผิดใด ๆ มาก่อนนั้น เห็นว่า การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพทำลายร้ายแรงยิงใส่ผู้เสียหายจนได้รับบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผล นายแพทย์ผู้ตรวจบันทึกไว้ว่า ถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีผู้เสียหายจะถึงแก่ความตายจากบาดแผลนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดโทษจำคุกและลดโทษให้แก่จำเลย คงจำคุกเพียง 3 ปี นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้ว และคดีไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share