แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามรายงานประจำวันธุรการไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าฝ่ายผู้เสียหายตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันที แต่กลับมีเงื่อนไขที่จำเลยจะต้องปฏิบัติต่อฝ่ายผู้เสียหายก่อน โดยต้องชำระเงินค่าเสียหายตามข้อตกลง เมื่อครบกำหนดสัญญาที่จำเลยตกลงชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้ ผู้เสียหายจึงไปร้องทุกข์ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระเงินให้ตามที่ตกลง ฝ่ายผู้เสียหายก็ยังติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยอยู่ แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยจะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลและฝ่ายผู้เสียหายรับไปแล้ว ก็ไม่มีผลผูกพันฝ่ายผู้เสียหายให้เลิกคดีอาญากัน กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ที่จะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป
การที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น แม้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายมาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมกับความผิดได้ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยสักครั้งหนึ่งเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่าที่จะจำคุกจำเลยไปเสียทีเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 362, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 365 (3) ประกอบมาตรา 362 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของนายชอบ รัตนพันธ์ ผู้เสียหายที่ 1 และกระทำอนาจาร อ. ผู้เสียหายที่ 2 คดีคงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ข้อตกลงตามรายงานประจำวันธุรการเป็นการยอมความ อันมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานกระทำอนาจารระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) หรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงตามรายงานประจำวันธุรการ มีใจความว่า นายชอบ รัตนพันธ์ มาแจ้งว่า จำเลยได้เข้าไปปลุกปล้ำ อ. บุตรของผู้แจ้งและได้เรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท โดยตกลงกันว่าจะชดใช้ให้ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2545 ได้สอบถามจำเลย นางพร้อม ใหม่จุ้ย ภริยาจำเลย และนายชอบได้ตกลงกันทั้งสองฝ่าย ตามรายงานประจำวันธุรการดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าฝ่ายผู้เสียหายตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันที แต่กลับมีเงื่อนไขที่จำเลยจะต้องปฏิบัติต่อฝ่ายผู้เสียหายก่อนโดยต้องชำระเงินค่าเสียหายตามข้อตกลง และผู้เสียหายที่ 1 บิดาผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาที่จำเลยตกลงชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ชดใช้ค่าเสียหายให้ จึงไปร้องทุกข์ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า ถ้าจำเลยไม่ชำระเงินให้ตามที่ตกลง ฝ่ายผู้เสียหายก็ยังติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยอยู่ เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายตามที่ตกลงไว้ แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยจะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลและฝ่ายผู้เสียหายรับไปแล้ว ก็ไม่มีผลผูกพันฝ่ายผู้เสียหายให้เลิกคดีอาญากัน กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ที่จะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานกระทำอนาจารยังไม่ระงับไปนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น แม้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายมาด้วย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยกำหนดโทษจำเลยให้เหมาะสมกับความผิดได้ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยสักครั้งหนึ่งเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคมโดยส่วนรวมมากกว่าที่จะจำคุกจำเลยไปเสียทีเดียว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและป้องกันมิให้กระทำความผิดอีกเห็นสมควรลงโทษปรับจำเลย และกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยไว้ด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 5,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษานี้ให้จำเลยฟัง ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 4 ครั้ง ภายในกำหนดระยะเวลา 2 ปี กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9