คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5340/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดีเนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยตามคำพิพากษามาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย มิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกัน และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งผู้ร้องมิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดี จึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค และให้จำเลยที่ 3 ร่ามรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 2,322,192 บาท แก่โจทก์ภายในวันที่ 17 มิถุนายน 2540 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยให้นำที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1550 ตำบลเชิงดอย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอชำระให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแล้ว ต่อมาโจทก์ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีหมายเลขแดงที่ 396/2544 และพิพากษาให้ล้มละลาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) อ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง เนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ รวมทั้งสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษาในคดีนี้มาจากการขาย ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย กรณีมีเหตุจำเป็นที่ผู้ร้องต้องร้องสอดเข้ามาในคดีเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ยื่นคำแถลงรับข้อเท็จจริงตามคำร้องและไม่คัดค้านคำร้องขอของผู้ร้อง
ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ถือว่าผู้ร้องขอเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ ผู้ร้องต้องดำเนินคดีอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ในอัตราร้อยละ 2.5 ภายใน 15 วัน ผู้ร้องจึงชำระค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.5 ของจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน 147,185 บาท (ที่ถูก ต้องชำระเพียง 143,465 บาท) และได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ได้ตามร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องเพียงว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ในชั้นบังคับคดี ก็โดยอาศัยเหตุที่ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเนื่องจากผู้ร้องเป็นผู้ซื้อและได้รับโอนสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสามตามคำพิพากษามาจากการขายซึ่งดำเนินการโดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ในคดีล้มละลาย กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่ผู้ร้องพิพาทกับจำเลยทั้งสามในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนอง ซึ่งเป็นมูลหนี้ที่โจทก์กับจำเลยทั้งสามพิพาทกัน และศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว ทั้งการที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดี เพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่โดยอาศัยเหตุดังกล่าว มิได้เรียกร้องสิ่งใดขึ้นใหม่หรือเกินไปกว่าสิทธิเรียกร้องที่โจทก์มีอยู่ตามคำพิพากษา ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไว้แล้วในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีจึงไม่มีเหตุที่ผู้ร้องจะต้องเสียค่าขึ้นศาลอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงไม่ถูกต้อง และเมื่อผู้ร้องได้ชำระค่าขึ้นศาลตามคำสั่งของศาลชั้นต้นมาแล้ว จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ผู้ร้องชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และให้คืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น 143,465 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share