คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3828/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ติดตั้งวัสดุเชื่อมรอยต่อ โจทก์ติดตั้งและส่งมอบงานทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าจ้างส่วนที่เหลือและคืนเงินประกันแก่โจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์ยังทำงานไม่เสร็จเนื่องจากมีการรั่วซึมของน้ำตลอดเวลา การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะจ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลือและเงินค้ำประกันผลงานให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจากการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นการเปลี่ยนหลักเกณฑ์กำหนดการจ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลือและเงินค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์เท่านั้น มิใช่เปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ที่จะเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะมีผลทำให้หนี้ตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระงับสิ้นไป แต่ข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวยังมีผลที่จะบังคับกันได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังมิได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจากการกีฬาแห่งประเทศไทย หนี้ตามที่โจทก์ฟ้องจึงยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระ โจทก์ยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิจึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ วันที่ 5 มีนาคม 2541 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ให้ติดตั้งวัสดุเชื่อมรอยต่อ (JEENE EXPANSION JOINTS) โครงการสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ ระยะที่ 2 ในราคา 1,135,200 บาท โดยตกลงว่า จำเลยที่ 1 จะแบ่งจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามปริมาณงานที่ได้ตรวจสอบและอนุมัติจากผู้ควบคุมงานของเจ้าของโครงการเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 15 วัน โดยจำเลยที่ 1 จะหักเงินประกันผลงานร้อยละ 3 ของมูลค่าสินค้า และร้อยละ 5 ของค่าติดตั้งทั้งหมด โดยเงินประกันผลงานนั้นจำเลยที่ 1 จะคืนให้แก่โจทก์เมื่องานเสร็จสิ้นทั้งโครงการและโจทก์ต้องนำหนังสือค้ำประกันของธนาคารในมูลค่าเดียวกันมาแลกเปลี่ยน ต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2541 โจทก์ได้มีหนังสือส่งมอบงานตามสัญญางวดสุดท้ายให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมทั้งให้จำเลยที่ 1 คืนเงินประกันทั้งหมดที่หักไว้ตามสัญญาจำนวน 200,000 บาท และชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายจำนวน 506,391 บาท แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 706,391 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงชำระหนี้กันใหม่ โดยจำเลยที่ 1 จะชำระเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือให้โจทก์เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากการกีฬาแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของโครงการแล้ว เมื่อหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องยังไม่ถึงกำหนดชำระ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ติดตั้งไม่ได้มาตรฐานทำให้มีการรั่วซึมของน้ำตลอดเวลา การทำงานของโจทก์ยังไม่เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะได้รับค่าจ้าง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 506,391 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 18 สิงหาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังเป็นยุติโดยที่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาโต้แย้งได้ความว่า จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ทำการติดตั้งวัสดุเชื่อมรอยต่อตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งเอกสารหมาย จ.3 โจทก์ทำการติดตั้งและส่งมอบงานทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ส่งมอบงานทั้งโครงการซึ่งรวมทั้งงานที่โจทก์รับจ้างติดตั้งให้แก่การกีฬาแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าของโครงการสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ (หัวหมาก) แล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าจ้างส่วนที่เหลือและคืนเงินประกันตามฟ้องแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ยังทำงานไม่เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเนื่องจากมีการรั่วซึมของน้ำตลอดเวลาโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงทำบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าจ้างส่วนที่เหลือ (สัญญาหลัก) ตามเอกสารหมาย จ.9 ว่าจำเลยที่ 1 จะจ่ายค่าจ้างส่วนที่หลือและเงินค้ำประกันผลงานให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 ยังมิได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจากการกีฬาแห่งประเทศไทย ดังนี้ เห็นว่า แม้ตามบันทึกข้อตกลงเรื่องค่าจ้างส่วนที่เหลือ (สัญญาหลัก) เอกสารหมาย จ.9 เพียงแต่เปลี่ยนหลักเกณฑ์กำหนดการจ่ายค่าจ้างส่วนที่เหลือและเงินค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายให้แก่โจทก์เท่านั้น จึงหาใช่เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ที่จะเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะมีผลทำให้หนี้ตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งเอกสารหมาย จ.3 ระงับสิ้นไปดังที่โจทก์ฎีกามาก็ตาม แต่ข้อตกลงตามบันทึกดังกล่าวก็ยังมีผลที่จะบังคับกันได้ เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 ยังมิได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายจากการกีฬาแห่งประเทศไทย หนี้ตามที่โจทก์ฟ้องจึงยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระ โจทก์ยังไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share