คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2233/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีก่อน ธนาคาร ก. เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย โดยมีจำเลยคดีนี้เป็นผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนแล้วว่า ที่ดินทั้งสามแปลงตามฟ้องเป็นของจำเลยคดีนี้ เมื่อโจทก์และจำเลยคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ผลของคำพิพากษาย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง และแม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงตามคำพิพากษาคดีดังกล่าว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะบุคคลภายนอกซึ่งอาจอ้างสิทธิตามความใน ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสองได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินทั้งสามแปลงตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับโอนสิทธิครอบครองที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 387, 391 และ 393 ตำบลเขาทราย หมู่ที่ 9 อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ด้วยนิติกรรมซื้อขายจากนายรังเจ้าของเดิม เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2534 โจทก์อนุญาตให้จำเลยพร้อมบริวารอาศัยทำกินอยู่ในที่ดินดังกล่าวเรื่อยมา ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยและบริวารอาศัยทำกินอยู่ในที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลงดังกล่าวอีกต่อไป โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน จำเลยทราบแล้วแต่เพิกเฉย การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 14,600 บาทต่อปี อนึ่ง ฟ้องของโจทก์คดีนี้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ 804/2536 คดีหมายเลขแดงที่ 905/2536 ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 100 บาทต่อไร่ คิดเป็นเงิน 14,600 บาทต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยหยุดการบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 905/2536 ของศาลชั้นต้นไว้จนกว่าคดีนี้จะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามคำฟ้องและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า ที่ดินทั้งสามแปลงตามฟ้องเป็นของจำเลยคดีนี้ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 905/2536 ระหว่าง ธนาคารกรุงไทย จำกัด โจทก์ นายซิ้ม อ้วนลา ผู้ร้อง นางไพฑูรย์ มณีเรือง จำเลย เรื่องเบิกเงินเกินบัญชี บัญชีเดินสะพัดจำนอง (ชั้นร้องขอให้ปล่อยทรัพย์) เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ผลของคำพิพากษาจึงย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง และแม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะบุคคลภายนอกซึ่งอาจอ้างสิทธิตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share