แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ในเดือนภาษีมีนาคม 2542 โจทก์มียอดภาษีมูลค่าเพิ่มชำระไว้เกินเป็นเครดิตภาษีจำนวน 536,712.40 บาท แต่โจทก์มิได้ไปขอคืนเป็นเงินสดหรือนำไปเป็นเครดิตภาษีหักกับภาษีที่ต้องชำระในเดือนถัดไปคือเดือนภาษีเมษายน 2542 ทั้ง ๆ ที่โจทก์ใช้สิทธิเช่นนั้นได้ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีหักกับภาษีในเดือนต่อ ๆ ไปได้ แต่โจทก์ได้นำมาเป็นเครดิตภาษีหักในเดือนภาษีพฤษภาคม 2542 ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดของโจทก์อย่างแท้จริง ทั้งจำเลยก็อุทธรณ์รับว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากรและให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วยดี กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้แจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีมิถุนายนถึงสิงหาคม 2542 ให้โจทก์ชำระภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มรวมทั้งสิ้น 703,815.74 บาท อ้างว่าโจทก์นำเครดิตภาษีไปใช้ในการคำนวณเพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีไม่ถูกต้อง โดยแสดงรายการภาษีชำระเกินยกมา ในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม 2542 สูงกว่าสิทธิที่พึงได้รับ ทำให้การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีดังกล่าวไม่ถูกต้อง โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินและคำวินิจฉัยดังกล่าว เนื่องจากการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปโดยถูกต้องแล้ว กล่าวคือในเดือนภาษีมีนาคม 2542 โจทก์มียอดภาษีมูลค่าเพิ่มชำระไว้เกินเป็นเครดิตภาษีจำนวน 536,712.40 บาท ต่อมาในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนเมษายน 2542 โจทก์มิได้นำเครดิตภาษีดังกล่าวมาชำระภาษี แต่นำไปชำระภาษีสำหรับเดือนภาษีพฤษภาคม 2542 ซึ่งเมื่อคำนวณภาษีแล้วปรากฏว่ายังมีเครดิตภาษีอยู่อีกเป็นจำนวน 505,096.28 บาท จึงนำไปชำระภาษีสำหรับเดือนภาษีมิถุนายน 2542 ซึ่งในเดือนภาษีดังกล่าวนี้โจทก์มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระจำนวน 190,765.08 บาท เมื่อหักกับเครดิตภาษียกมาจำนวน 505,096.28 บาท จึงไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระ และโจทก์ก็ได้นำเครดิตภาษีส่วนที่เหลือไปใช้ในการคำนวณภาษีสำหรับเดือนภาษีกรกฎาคมและสิงหาคม 2542 ต่อไปตามลำดับ การที่โจทก์มิได้นำเครดิตภาษีของเดือนภาษีมีนาคม 2542 ไปใช้คำนวณภาษีในเดือนภาษีเมษายน 2542 เนื่องจากการหลงลืมของเจ้าหน้าที่ มิได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด และโจทก์ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบภาษีมาโดยตลอดจึงมีเหตุที่จะงดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ได้ แต่เจ้าพนักงานของจำเลยลดเบี้ยปรับให้เพียงร้อยละ 50 และเรียกเก็บเงินเพิ่มจากโจทก์คิดเป็นเบี้ยปรับจำนวน 205,593.45 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 87,036.13 บาท ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ที่ สภ. 2/2010450/ฝ.1/7/45/59-61
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้งดเบี้ยปรับแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในเดือนมีนาคม 2542 โจทก์มีเครดิตภาษีจำนวน 536,712.40 บาท เดือนเมษายน 2542 โจทก์ไม่มีภาษีขายคงมีแต่ภาษีซื้อจำนวน 24,490.88 บาท จึงไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระและโจทก์มิได้ขอคืนภาษี จึงมีภาษีที่ชำระไว้เกินเป็นเครดิตภาษีจำนวน 24,490.88 บาท ในเดือนภาษีพฤษภาคม 2542 โจทก์มียอดภาษีมูลค่าเพิ่มต้องชำระจำนวน 10,513.55 บาท และได้แสดงยอดภาษีชำระเกินจำนวน 515,609.83 บาท หักด้วยเครดิตภาษีของเดือนภาษีเมษายน 2542 จึงมีภาษีต้องชำระและมีภาษีชำระเกินเป็นเครดิตภาษียกไปในเดือนมิถุนายน 2542 จำนวน 13,977.33 บาท เดือนมิถุนายน 2542 มียอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ แล้วเป็นภาษีที่ต้องชำระจำนวน 190,765.08 บาท หักด้วยภาษีชำระเกินเป็นเครดิตภาษีจำนวน 13,977.33 บาท แต่โจทก์ได้นำภาษีที่ชำระเกินเป็นเครดิตภาษีจำนวน 505,096.28 บาท ทำให้ไม่มีภาษีที่ต้องชำระแต่เป็นภาษีที่ชำระเกินเป็นเครดิตภาษีจำนวน 314,331.20 บาท เดือนภาษีกรกฎาคม 2542 โจทก์แสดงยอดภาษีต้องชำระจำนวน 103,403.44 บาท หักด้วยเครดิตภาษีจำนวน 314,331.20 บาท จึงไม่มีภาษีต้องชำระ และมีเครดิตภาษีจำนวน 210,927.76 บาท เดือนภาษีสิงหาคม 2542 โจทก์แสดงยอดภาษีต้องชำระจำนวน 130,995.72 บาท หักด้วยเครดิตภาษีจำนวน 210,927.76 บาท จึงไม่มีภาษีต้องชำระ และมีเครดิตภาษีจำนวน 79,932.04 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษางดเบี้ยปรับแก่โจทก์ชอบหรือไม่ โดยจำเลยกล่าวอ้างว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเห็นว่ากรณีของโจทก์เป็นการนำส่งภาษีคลาดเคลื่อน ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (3) ได้กำหนดให้ต้องเสียเบี้ยปรับอีกเท่าหนึ่งของภาษีที่คลาดเคลื่อนซึ่งเจ้าพนักงานประเมินได้พิจารณาลดเบี้ยปรับให้แล้วโดยคิดเบี้ยปรับเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย เป็นการลดเบี้ยปรับตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 เห็นว่า ตามรายงานการประชุมของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เอกสารหมาย ล. 1 ซึ่งวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในการของดหรือลดเบี้ยปรับ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานประเมินได้พิจารณาลดให้โดยให้เสียเบี้ยปรับร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2542 จึงไม่มีเหตุอันควรผ่อนผันที่จะพิจารณางดหรือลดให้อีก แต่ก็ปรากฏว่าในรายงานการประชุมดังกล่าว แผ่นที่ 9 ได้ระบุเหตุที่มีการลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ก็คือ โจทก์เสียภาษีคลาดเคลื่อนหรือนำส่งเงินภาษีคลาดเคลื่อน ซึ่งสาเหตุความคลาดเคลื่อนนั้นปรากฏว่าโจทก์มิได้นำภาษีที่ชำระไว้เกินจำนวน 536,712.40 บาท ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนภาษีมีนาคม 2542 ไปขอคืนเป็นเงินสดหรือนำไปเป็นเครดิตภาษีหักกับภาษีที่ต้องชำระในเดือนถัดไปคือเดือนภาษีเมษายน 2542 ทั้ง ๆ ที่โจทก์ใช้สิทธิเช่นนั้นได้ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำมาเครดิตภาษีหักกับภาษีในเดือนต่อ ๆ ไปได้ แต่โจทก์ได้นำมาเป็นเครดิตภาษีหักในเดือนภาษีพฤษภาคม 2542 เห็นได้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของโจทก์อย่างแท้จริง ทั้งจำเลยก็อุทธรณ์รับว่า คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยเห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากรและให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วยดี กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะงดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษางดเบี้ยปรับ ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีภาษีกร อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน