คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

สัญญากู้เงินระบุข้อตกลงว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ ซึ่งผู้ให้กู้อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้และผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ตามประกาศของธนาคารฯ โจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวแสดงว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ครบถ้วน ไม่ว่าจำเลยจะผิดนัดหรือไม่ก็ตาม และมิใช่เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าหากไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้อง จึงไม่ใช่เบี้ยปรับ แม้ทางปฏิบัติโจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจำเลยไม่ถึงอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และได้ปรับอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราที่กำหนดไว้ตามสัญญากลายเป็นเบี้ยปรับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ 211,000 บาท ตกลงยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีหรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่โจทก์อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราที่กำหนดไว้ดังกล่าวตามประกาศของโจทก์โดยไม่จำต้องแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้า และในกรณีที่จำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้า โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ในวันเดียวกันจำเลยได้จดทะเบียนจำนองห้องชุด พร้อมส่วนควบเป็นประกันการชำระหนี้แก่โจทก์หลังจากทำสัญญาจำเลยชำระหนี้บางส่วนแล้วแต่ไม่ได้ชำระหนี้เป็นประจำทุกเดือนค้างชำระติดต่อกันหลายงวด ในระหว่างสัญญาโจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยรวม 19 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจากอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเป็นอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี โจทก์ทวงถามและมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 223,377.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี จากต้นเงิน 198,288.32 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 1,065.72 บาท ทุก 3 ปี ต่อครั้ง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 223,377.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 198,288.32 บาท นับแต่วันที่ 17 เมษายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์และจดทะเบียนจำนองห้องชุดตามฟ้องเพื่อประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ซึ่งโจทก์อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้และยินยอมเสียดอกเบี้ยใหม่ตามประกาศของโจทก์ โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้า ในวันทำสัญญาโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี และต่อมาโจทก์ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยรวม 19 ครั้ง ครั้งสุดท้ายจากอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี มีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญากู้เงินเป็นเบี้ยปรับหรือไม่เห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 1 ระบุไว้ชัดเจนว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หรือตามอัตราดอกเบี้ยใหม่ ซึ่งผู้ให้กู้อาจเปลี่ยนแปลงสูงขึ้นหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ข้างต้นนี้และผู้กู้ยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ตามประกาศของธนาคารฯ โดยผู้ให้กู้ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ผู้กู้ทราบล่วงหน้าทั้งนี้ให้ถือปฏิบัติเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าผู้กู้จะชำระหนี้ตามสัญญานี้ให้แก่ผู้ให้กู้ครบถ้วนแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีตามข้อสัญญาดังกล่าวจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญาได้อยู่แล้ว ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะผิดนัดหรือไม่ก็ตามข้อตกลงดังกล่าวมิใช่เป็นการกำหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าหากไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรจึงไม่ใช่เบี้ยปรับ แม้ทางปฏิบัติโจทก์จะยอมผ่อนผันให้โดยคิดดอกเบี้ยในครั้งแรกอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ไม่ถึงอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามที่ตกลงกันไว้และต่อมาโจทก์ไปปรับอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้ง ก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราที่กำหนดไว้ตามสัญญากลายเป็นเบี้ยปรับไป ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตามสัญญาเป็นเบี้ยปรับและลดดอกเบี้ยลงเหลืออัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share