แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ยอมรับว่ามีข้อตกลงกับจำเลยว่าต่างฝ่ายต่างยอมให้อาศัยใช้ทางพิพาทออกสู่ถนนคลองชลประทานได้ เป็นการเอื้อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางภาระจำยอมระหว่างโจทก์จำเลยเพราะต่างคนต่างยอมให้ผ่านในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นการยอมให้ผ่านทางพิพาทโดยถือวิสาสะซึ่งกันและกันนั่นเอง
ที่ดินโฉนดเลขที่ 15673 ของโจทก์ไม่ได้ถูกปิดล้อมโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 15671 ของจำเลย แต่ถูกปิดล้อมโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 15672 ของ ว. เพราะที่ดินตามโฉนดเลขที่ 15673 ของโจทก์จะผ่านไปสู่ถนนคลองชลประทานระยะทางที่ใกล้ที่สุดก็คือผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 15672 ของ ว. ดังนั้นทางพิพาทช่วงระยะที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 15671 จึงไม่เป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์ ตามโฉนดเลขที่ 15673
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นและทางภาระจำยอมให้จำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางที่ปิดกั้นทางพิพาทออก หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้จำเลยไปจดทะเบียนทางพิพาท เป็นทางจำเป็น และหรือทางภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15673 ของโจทก์ หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งกีดขวางและเปิดทางพิพาทให้โจทก์และบริวารให้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6722 และที่ดินโฉนดเลขที่ 15673 ตำบลหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 15671 ตำบลหนองหมู อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้ง 2 แปลง โดยมีถนนลูกรังพาดผ่านด้านบนสุดของที่ดินของโจทก์ทั้ง 2 แปลง, ที่ดินของจำเลยและที่ดินของนายวิชัย โสภณกนกรัฐกุล เพื่อจะไปเชื่อมต่อกับถนนคลองชลประทานด้านติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 6722 ของโจทก์ และด้านติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 15672 ของนายวิชัย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ถนนลูกรังพิพาทซึ่งพาดผ่านตอนบนสุดของที่ดินของโจทก์ 2 แปลง, ที่ดินของจำเลย และที่ดินของนายวิชัยเป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ยอมรับว่ามีข้อตกลงกับจำเลยว่าต่างฝ่ายต่างยอมให้อาศัยใช้ทางพิพาทดังกล่าวเข้าออกสู่ถนนคลองชลประทานได้เป็นการเอื้อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ภายหลังโจทก์ทำประตูกั้นเปิดปิดในที่ดินแปลงโฉนดเลขที่ 7622 ทำให้จำเลยเข้าออกไม่สะดวก ซึ่งเกิดทะเลาะโต้เถียงกัน จำเลยจึงไปซื้อที่ดินของนายพงษ์ศักดิ์ ซึ่งติดอยู่กับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันออกทำถนนไปสู่ถนนคลองชลประทาน ส่วนที่ดินของโจทก์แปลงโฉนดเลขที่ 6722 สามารถออกไปสู่ถนนคลองชลประทานได้เพราะติดกับถนนคลองชลประทานอยู่แล้ว สำหรับที่ดินของโจทก์แปลงโฉนดเลขที่ 15673 ก็สามารถออกไปสู่ถนนคลองชลประทานอีกด้านหนึ่งโดยผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 15672 ของนายวิชัย ซึ่งนายวิชัยก็มาเบิกความยินยอมให้โจทก์ผ่านทางออกไปสู่ถนนคลองชลประทานได้โดยไม่ขัดข้อง เช่นนี้ ทางพิพาทจึงไม่เป็นภาระจำยอมระหว่างโจทก์จำเลยเพราะต่างคนต่างยอมให้ผ่านในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นการยอมให้ผ่านทางพิพาทโดยถือวิสาสะซึ่งกันและกันนั่นเอง ส่วนจะเป็นทางจำเป็นหรือไม่นั้น เห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 15673 ของโจทก์ไม่ได้ถูกปิดล้อมโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 15671 ของจำเลย แต่ถูกปิดล้อมโดยที่ดินโฉนดเลขที่ 15672 ของนายวิชัย เพราะที่ดินตามโฉนดเลขที่ 15673 ของโจทก์จะผ่านไปสู่ถนนคลองชลประทานระยะทางที่ใกล้ที่สุดก็คือผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 15672 ของนายวิชัย ดังนั้นทางพิพาทช่วงระยะที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 15671 จึงไม่เป็นทางจำเป็นสำหรับที่ดินของโจทก์ ตามโฉนดเลขที่ 15673 ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าทางพิพาทในกรณีนี้ไม่เป็นทั้งทางภาระจำยอมและทางจำเป็นนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน