คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8331/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค ส่วนจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 บัญญัติให้บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น เมื่อจำเลยทั้งหมดให้การต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ตามเช็คแล้ว โดยจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ 2 คูหา ให้แก่โจทก์เป็นการตีใช้หนี้ อันเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดตามเช็ค หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงตกอยู่แก่จำเลยทั้งสอง การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ตีใช้หนี้ตามเช็คฉบับอื่น เป็นเพียงการนำสืบแก้ข้อกล่าวอ้างที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นโต้เถียงในคำให้การเท่านั้น หน้าที่นำสืบในประเด็นข้อนี้หาได้ตกอยู่แก่โจทก์ไม่
จำเลยทั้งสองมีหน้าที่นำสืบ แต่นำสืบให้รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็คให้แก่โจทก์แล้วตามข้อกล่าวอ้าง หนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังไม่ระงับสิ้นไป จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็ค
แม้โจทก์จะอ้างเอกสารซึ่งเป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายเฉพาะด้านหน้าของเช็คก็ตาม แต่โจทก์อ้างว่าได้มอบต้นฉบับเช็คคืนแก่จำเลยทั้งสองไปแล้ว จำเลยทั้งสองคงคัดค้านเพียงว่าเอกสารดังกล่าวเป็นสำเนา มิได้คัดค้านว่า ต้นฉบับไม่มีหรือเอกสารปลอมหรือสำเนาไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 ทั้งมิได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ต้นฉบับเช็คอยู่ที่จำเลยทั้งสองจริงหรือไม่ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93 (2) ศาลจึงรับฟังสำเนาเช็คดังกล่าวประกอบคำเบิกความของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,075,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,000 000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 75,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทซึ่งเป็นเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2540 สั่งจ่ายเงินฉบับละ 500,000 บาท รวม 2 ฉบับ ซึ่งจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย และจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังนำไปแลกเงินสดกับโจทก์ ต่อมาโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2540 โดยให้เหตุผลว่า โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 เคยทำหนังสือโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ 2 คูหา ซึ่งจำเลยที่ 2 มีสิทธิที่จะเช่าจากบริษัทเมืองเชียงกง จำกัด มอบไว้แก่โจทก์ และภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ดำเนินการรับโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ทั้งสองคูหาเป็นของภริยาโจทก์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า หนี้ตามเช็คพิพาทระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ส่วนจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลัง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 บัญญัติให้ บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในเช็คย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแล้ว โดยจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ 2 คูหา ให้แก่โจทก์เป็นการตีใช้หนี้ อันเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อที่จะไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาท หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงตกอยู่แก่จำเลยทั้งสอง การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 โอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ตีใช้หนี้ตามเช็คฉบับอื่นไม่ใช่เช็คพิพาท เป็นเพียงการนำสืบแก้ข้อกล่าวอ้างที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นโต้เถียงในคำให้การเท่านั้น หน้าที่นำสืบในประเด็นข้อนี้หาได้ตกอยู่แก่โจทก์ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อน ซึ่งโจทก์นำสืบว่าสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ที่จำเลยที่ 2 โอนให้แก่โจทก์เป็นการตีใช้หนี้ส่วนหนึ่งของหนี้ตามเช็คอื่น 8 ฉบับ จำนวนเงินรวม 3,600,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 สลักหลังนำไปแลกเงินสดกับโจทก์ ซึ่งปรากฏว่าเช็ค 5 ฉบับแรกเป็นเช็คที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดทวีผลอะไหล่ยนต์และร้านทวีผลกลการเป็นผู้สั่งจ่าย โดยมีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายบางฉบับ คือฉบับที่ 2 และฉบับที่ 3 ส่วนเช็คฉบับที่ 6 ถึงฉบับที่ 8 จำเลยที่ 1 ลงลายมือเป็นผู้สั่งจ่ายในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 1 มิได้เบิกความปฏิเสธข้อนำสืบของโจทก์เกี่ยวกับเช็คดังกล่าว คงเบิกความเพียงว่า จำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทไปเปลี่ยนเอาเช็คบางฉบับใน 8 ฉบับที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายคืนจากโจทก์ ซึ่งไม่อาจรับฟังได้ เพราะตามคำให้การต่อสู้คดีถือได้ว่าจำเลยที่ 1 รับแล้วว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 2 นำไปแลกเงินสดกับโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงตามฟ้อง ในส่วนนี้ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็เบิกความลอยๆ เพียงว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คทั้ง 8 ฉบับ แต่เมื่อตอบทนายโจทก์ถามค้านจำเลยที่ 2 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 2 เคยนำเช็คไปแลกเงินสดกับโจทก์หลายครั้ง และรับว่าจำเลยที่ 1 เคยฝากเช็คของจำเลยที่ 1 รวมทั้งเช็คของลูกค้าให้จำเลยที่ 2 นำไปแลกเงินสดกับโจทก์ ซึ่งเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่า เมื่อจำเลยทั้งสองยังค้างชำระหนี้ตามเช็คฉบับที่ 6 ถึงฉบับที่ 8 อยู่ ย่อมไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะยอมให้จำเลยที่ 2 นำเช็คฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 5 ไปแลกเงินสดกับโจทก์อีกนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้ปรากฏเลยว่าเช็คฉบับใดมีการแลกเงินสดก่อนหลังกันอย่างไร ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า เช็ค 8 ฉบับ จำเลยที่ 2 มีความผูกพันโดยเป็นผู้สลักหลังนำไปแลกเงินสดกับโจทก์ ส่วนการโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์เพื่อตีใช้หนี้นั้น พยานจำเลยทั้งสองคงมีตัวจำเลยทั้งสองเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ทำหนังสือโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ให้แก่โจทก์เป็นการตีใช้หนี้ตามเช็คพิพาท ซึ่งหากเป็นความจริงจำเลยทั้งสองก็น่าจะขอเช็คพิพาทคืนจากโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าเหตุที่มีได้ขอเช็คพิพาทคืนเป็นเพราะมีข้อตกลงให้โจทก์ไปรับโอนสิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์เป็นของโจทก์ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทมิใช่ให้โจทก์ไปรับโอนสิทธิการเช่าได้ทันทีนั้น นอกจากจะไม่ปรากฏตามทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยที่ 2 จะต้องชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาใดแล้ว ยังไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ทำบันทึกเป็นหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งต่อกันไว้ด้วย ทั้งๆ ที่สิทธิการเช่าอาคารพาณิชย์ดังกล่าวมีราคาถึงคูหาละ 850,000 บาท ซึ่งสูงกว่าจำนวนเงินตามเช็คพิพาทมาก ข้อที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ให้นายสมนึก แซ่เอี้ยว พี่ชายจำเลยที่ 1 ออกเช็ค 14 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 50,000 บาท ชำระหนี้ตามเช็คเดิมบางส่วน และจำเลยที่ 2 นำอะไหล่รถยนต์ไปตีใช้หนี้อีกส่วนหนึ่งให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นไปแล้วนั้น จำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบโต้แย้งหรือนำนายสมนึกมาเบิกความหักล้างข้อนำสืบของโจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังเบิกความตอบทนายโจทก์ในครั้งก่อนๆ ด้วย ซึ่งเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์อีกประการหนึ่ง พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยทั้งสอง เมื่อจำเลยทั้งสองมีหน้าที่นำสืบแต่นำสืบให้รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้แก่โจทก์แล้วตามข้อกล่าวอ้าง หนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังไม่ระงับสิ้นไป จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเนื้อความในเช็ค
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า เอกสารซึ่งเป็นสำเนาเช็ครวม 22 ฉบับ ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 หรือไม่ เห็นว่า สำหรับเช็ค 8 ฉบับแรก ซึ่งโจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังนำไปแลกเงินสดกับโจทก์ก่อนเช็คพิพาทนั้น แม้เอกสารดังกล่าวจะเป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายเฉพาะด้านหน้าของเช็คก็ตาม แต่ในการนำสืบสำเนาเช็คดังกล่าว โจทก์เบิกความว่าได้มอบต้นฉบับเช็คคืนแก่จำเลยทั้งสองไปแล้ว จำเลยทั้งสองคงคัดค้านเพียงว่าเอกสารดังกล่าวเป็นสำเนา มิได้คัดค้านว่า ต้นฉบับไม่มีหรือเอกสารปลอมหรือสำเนาไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ทั้งมิได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ต้นฉบับเช็คอยู่ที่จำเลยทั้งสองจริงหรือไม่ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (2) ศาลจึงรับฟังสำเนาเช็คดังกล่าวประกอบคำเบิกความของโจทก์ได้ ส่วนเช็คอีก 14 ฉบับนั้น โจทก์มิได้นำสืบอ้างว่าจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังไว้ด้วยดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา ข้อเท็จจริงในส่วนนี้โจทก์เบิกความเพียงว่า จำเลยที่ 1 ให้นายสมนึกพี่ชายจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาหัวลำโพง ให้แก่โจทก์ 14 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ส่วนหนึ่งของหนี้ตามเช็ค 8 ฉบับแรก โดยโจทก์อ้างส่งสำเนาเช็คดังกล่าวเป็นพยานประกอบคำเบิกความของโจทก์ด้วยเท่านั้น ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบโต้แย้งว่าคำเบิกความของโจทก์ไม่เป็นความจริง ดังนั้น แม้หากจะไม่รับฟังสำเนาเช็ค 14 ฉบับนี้ ข้อเท็จจริงก็รับฟังตามคำเบิกความของโจทก์ได้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 1 ให้นายสมนึกสั่งจ่ายเช็ค 14 ฉบับ ชำระหนี้ส่วนหนึ่งของหนี้ตามเช็คเดิม 8 ฉบับ ให้แก่โจทก์จริง มิใช่ว่าจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงจากสำเนาเช็คซึ่งเป็นพยานเอกสารเพียงทางเดียว ปัญหาว่าสำเนาเช็คเอกสาร 14 ฉบับ จะรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 หรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share