คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3086/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุตรว่าประพฤติเนรคุณ ขอถอนคืนการให้ที่ดินต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยและบุตรคนอื่นปลูกบ้านให้โจทก์ และเลี้ยงดูโจทก์โดยส่งเสียเงินให้โจทก์ตามฐานานุรูปของแต่ละคนรวมกันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4,000 บาท ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องถอนคืนการให้ของโจทก์ที่ฟ้องระงับสิ้นไป โจทก์คงได้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามศาลจะต้องบังคับคดีไปตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น ส่วนข้อตกลงรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้บนที่ดินและจดทะเบียนโอนที่ดินคืนให้แก่โจทก์ตามรายงานกระบวนพิจารณานั้น เป็นข้อตกลงที่ทำขึ้นใหม่ภายหลังที่ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ไม่อาจบังคับในคดีนี้ได้ หากจำเลยไม่ปฏิบัติโจทก์ต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยแยกไปจากคดีนี้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นบุตรประพฤติเนรคุณ ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยจัดการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ถอนคืนการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 18820 และ 18825 ตำบลดอนทราย อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี และส่งมอบโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทอันเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามที่โจทก์กล่าวหา ขอให้ยกฟ้อง
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2544 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยและบุตรคนอื่นๆ ของโจทก์ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือ ปลูกบ้านเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้องให้แก่โจทก์ 1 หลัง เลี้ยงดูโจทก์โดยส่งเสียเงินให้เป็นรายเดือนตามฐานานรูปของแต่ละคนแต่รวมกันต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4,000 บาท จำเลยยอมรับผิดที่ได้ล่วงเกินโจทก์ไว้โดยจะทำการขอขมาโจทก์ภายหลัง โจทก์จำเลยตกลงไม่ติดใจเอาความกันอีก หากไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที
ต่อมาวันที่ 16 สิงหาคม 2544 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ศาลมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีให้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18820 และ 18825 จังหวัดราชบุรี คืนแก่โจทก์ศาลนัดพร้อมเพื่อสอบถามโจทก์จำเลย เมื่อถึงวันนัดคือวันที่ 11 ตุลาคม 2544 โจทก์จำเลยตกลงกันได้ว่า จำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้บนที่ดินโฉนดเลขที่ 18825 จังหวัดราชบุรี และจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2544 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนดยอมให้โจทก์บังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้ต่อไป
ต่อมาวันที่ 19 พฤศจิกายน 2544 โจทก์ยื่นคำแถลงว่า จำเลยไม่โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้ศาลมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีให้จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18825 จังหวัดราชบุรี คืนให้แก่โจทก์ และเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2545 ศาลช้นต้นนัดพร้อมเพื่อสอบถามโจทก์จำเลยแล้วมีคำสั่งว่า การกระทำของจำเลยเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงให้บังคับคดีตามฟ้องโจทก์โดยให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18820 และ 18825 จังหวัดราชบุรี คืนให้แก่โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่ทราบคำสั่ง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันลงวันที่ 15 มีนาคม 2544 ว่า จำเลยและบุตรคนอื่นๆ ของโจทก์จะปลูกบ้านเป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียวหลังคามุงกระเบื้องให้แก่โจทก์ 1 หลัง จะเลี้ยงดูโจทก์โดยส่งเสียเงินให้เป็นรายเดือนตามฐานานุรูปของแต่ละคน แต่รวมกันต้องไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4,000 บาท จำเลยยอมรับผิดที่ได้ล่วงเกินโจทก์ไว้ โดยจะทำการขอขมาโจทก์ภายหลัง และโจทก์จำเลยตกลงไม่ติดใจเอาความกันอีกต่อไป ซึ่งผลของสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวย่อมทำให้สิทธิเรียกถอนคืนการให้ของโจทก์ที่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18820 และ 18825 จังหวัดราชบุรี ระงับสิ้นไป โจทก์คงได้สิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมจนคดีถึงที่สุดแล้วแทน ดังนั้น หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามศาลจะต้องบังคับคดีให้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุว่าหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 18820 และ 18825 จังหวัดราชบุรี คืนแก่โจทก์ไว้แต่อย่างใด ส่วนข้อตกลงที่จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้บนที่ดินโฉนดเลขที่ 18825 จังหวัดราชบุรี และจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 11 ตุลาคม 2544 นั้น เป็นข้อตกลงที่ทำขึ้นใหม่ภายหลังที่ศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำขึ้นใหม่ดังกล่าวโจทก์ก็ต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอากับจำเลยแยกไปจากคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share