คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 988/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้า เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานและยักยอกทรัพย์ การพิพากษาคดีส่วนแพ่งคดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับจำนองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์มิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์คดีนี้ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีนี้มิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา และคดีดังกล่าวศาลยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบ เพียงแต่วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นจะนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีดังกล่าวมารับฟังในคดีนี้ไม่ได้เพราะยังมีข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบว่าจำเลยทั้งห้าต้องร่วมกันคืนทรัพย์แก่โจทก์หรือไม่ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ (ที่ถูกยก) คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่โดยให้โจทก์และจำเลยทั้งห้านำพยานเข้าสืบต่อไปนั้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยก็จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้าต่อไป เมื่อคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์จึงต้องโต้แย้งคำสั่งไว้จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ได้ แต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใดจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับ (ที่ถูกยก) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณา มิได้ขอให้โจทก์ชนะคดีตามคำฟ้อง จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 ข้อ 2 (ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินตามสัญญากู้และค่าไถ่ถอนจำนอง รวม 2,755,059.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,859,958.33 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการรับจำนองที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1495/2541 ของศาลแขวงตลิ่งชัน ข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานและยักยอกทรัพย์ คดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากโจทก์มิใช่ผู้รับจำนองที่ดินพิพาท มิใช่ผู้เสียหาย คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว การพิพากษาคดีนี้จะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยกู้เงินโจทก์ แต่กู้เงินจำเลยที่ 1 โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทเป็นประกัน และต่อมาได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนและไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การเกินกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 4
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้า เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1495/2541 ของศาลแขวงตลิ่งชัน ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานและยักยอกทรัพย์ การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับจำนองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2543 ระหว่างนายประชัน วงศ์ไวศยวรรณ โจทก์ นายสุรพล อรุณแจ้งวัฒนะ จำเลย ศาลชั้นต้นจึงเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้าแล้วพิพากษา ยกฟ้องโจทก์โดยถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีนี้มิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1495/2541 ของศาลแขวงตลิ่งชัน และคดีดังกล่าวศาลยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบ เพียงแต่วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นจะนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีดังกล่าวมารับฟังในคดีนี้ไม่ได้เพราะยังมีข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบว่าจำเลยทั้งห้าต้องร่วมกันคืนทรัพย์แก่โจทก์หรือไม่ ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ (ที่ถูกยก) คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่โดยให้โจทก์และจำเลยทั้งห้านำพยานเข้าสืบต่อไปนั้นเห็นได้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งคัดค้านคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหากศาลอุทธรณ์เห็นด้วยก็จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งห้าต่อไปตามที่โจทก์อุทธรณ์ เมื่อคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์จึงต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ จึงจะมีสิทธิ์อุทธรณ์ได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานวันที่ 7 กันยายน 2543 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2543 แต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใดจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับ (ที่ถูกยก) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณา มิได้ขอให้โจทก์ชนะคดีตามคำฟ้อง จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 (ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์”
พิพากษายืน

Share