แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองที่จำเลยที่ 1 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างอาคารพลาซ่า ตลาดและตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจดทะเบียนการเช่าให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่า สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองถือเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก และยังถือว่าเป็นการร่วมกันทางการค้าเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อโจทก์เข้าทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 2 สร้างตึกแถวถือว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคสอง
โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะก่อสร้างอาคารพลาซ่าให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี และปรับปรุงตกแต่งตึกแถวให้เรียบร้อยภายใน 3 เดือน เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่สร้างอาคารพลาซ่า ไม่ตกแต่งตึกแถวให้เรียบร้อยจำเลยที่ 1 จึงผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วเป็นผลให้คู่กรณีต้องกลับสู่ฐานะเดิม จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินค่าช่วยก่อสร้างทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เวลาที่ได้รับเงินไว้แก่โจทก์และต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 391
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2532 จำเลยทั้งสองทำสัญญาร่วมกันเพื่อก่อสร้างตึกแถวอาคารพาณิชย์ 3.75 ชั้น อาคารพลาซ่า อาคารขายสินค้าแบบแผงตลาดบนที่ดินของจำเลยที่ 1 โฉนดเลขที่ 1187 และ 1189 โดยจำเลยที่ 2 ดำเนินการเกี่ยวกับแบบแปลนและขออนุญาตก่อสร้างในนามจำเลยที่ 1 เฉพาะตึกแถวจะให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้าง เมื่อก่อสร้างเสร็จให้ตึกแถวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจดทะเบียนการเช่าให้แก่บุคคลภายนอกที่ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างเป็นเวลา 30 ปี หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้ทำการโฆษณาชวนเชื่อต่อประชาชนทั่วไป เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2532 โจทก์จึงตกลงออกเงินช่วยค่าก่อสร้างตึกแถวจำนวน 2 คูหา เป็นเงินจำนวน 2,600,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการทำให้บริเวณดังกล่าวเป็นศูนย์การค้า ต่อมาประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน 2537 โจทก์และผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างอื่นกับจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องสร้างอาคารพลาซ่าและดำเนินการทำให้บริเวณดังกล่าวเป็นศูนย์การค้าให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาเช่า ก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารที่เช่าให้เสร็จภายใน 3 เดือน แต่ระยะเวลาจดทะเบียนการเช่าลดลงเหลือเพียง 28 ปี เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2538 โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนการเช่าที่สำนักงานที่ดินมีกำหนดระยะเวลา 28 ปี หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว แต่กลับปล่อยให้บริเวณและสถานที่เช่าเป็นสถานที่รกร้างไม่มีการปรับปรุงหรือบำรุงรักษา ปิดกั้นล้อมรั้วไม่ให้เข้าออกบริเวณสถานที่เช่า ไม่ดำเนินการก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารให้พร้อมสมบูรณ์ที่จะเข้าอยู่อาศัยทำการค้าได้ และไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่าให้เป็นธรรมตามที่ตกลงกับโจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระเงินที่โจทก์ออกไปช่วยค่าก่อสร้างจำนวน 2,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่และจำนวนเงินที่จ่ายในแต่ละงวด ซึ่งคำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 1,642,418 บาท และขอคิดค่าขาดประโยชน์ในการใช้สอยตึกแถวที่เช่าเพื่อทำการค้าขาย โดยอาคารดังกล่าวสามารถนำออกให้ผู้อื่นเช่าได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 40,000 บาท ต่อ 1 คูหา ซึ่งนับแต่วันจดทะเบียนการเช่าคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,969,972 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียง 1,984,986 บาท โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,227,404 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์เป็นรายเดือน เดือนละ 80,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การ และจำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 4,746,533 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1 ตกลงกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ก่อสร้างอาคารพลาซ่า ตลาด และตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ 1 เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเงินค่าช่วยก่อสร้างจากผู้เช่า และจำเลยที่ 1 ต้องจดทะเบียนการเช่าแก่ผู้เช่ามีกำหนดระยะเวลา 30 ปี โจทก์เป็นผู้เช่าและออกเงินค่าช่วยก่อสร้างตึกจำนวน 2 คูหา เป็นเงินจำนวน 2,600,000 บาท จำเลยที่ 2 ก่อสร้างตึกแถวเสร็จแล้วเมื่อปี 2534 ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนให้เช่าตึกแถวแก่โจทก์มีกำหนด 28 ปี สำหรับอาคารพลาซ่าไม่มีการก่อสร้าง ส่วนตลาดยังสร้างไม่เสร็จ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาหรือไม่ เห็นว่า สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย ล.1/1, ล.2/1 และ ล.3 ตกลงให้จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างอาคารพลาซ่า ตลาด และตึกแถวบนที่ดินของจำเลยที่ 1 ในกรณีตึกแถวนั้นเมื่อสร้างเสร็จแล้วให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจดทะเบียนการเช่าให้แก่ผู้ว่าจ้างหรือผู้ออกเงินช่วยค่าก่อสร้างมีกำหนดระยะเวลา 30 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเก็บเงินช่วยค่าก่อสร้างจากผู้เช่า สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองดังกล่าวถือเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการร่วมกันทางการค้าเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อโจทก์เข้าทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 2 สร้างตึกแถวตามสำเนาสัญญาว่าจ้างสร้างอาคารเอกสารหมาย จ.2 ถือว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคสอง ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 สร้างตึกแถวเสร็จตั้งแต่ปี 2534 แต่โจทก์ไม่สามารถเข้าอยู่ได้เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมจดทะเบียนการเช่า จนตึกแถวมีสภาพแตกร้าวและรกร้างตามสำเนาภาพถ่าย จ.6 ต่อมาวันที่ 6 มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาเช่าตึกแถวกับโจทก์ตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวเอกสารหมาย จ.3 จ.4 สัญญาระหว่างจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย ล.1/1, ล.2/1 และ ล.3 มีข้อตกลงสร้างอาคารพลาซ่าและตลาดด้วย แต่ขณะจดทะเบียนเช่าตึกแถว อาคารพลาซ่าและตลาดยังไม่ได้ก่อสร้างประกอบกับตึกแถวมีสภาพชำรุดรกร้าง ไม่เชื่อว่าโจทก์จะตกลงเช่าตึกแถวโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ไม่สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ ฉะนั้น ที่โจทก์อ้างว่ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 จะก่อสร้างอาคารพลาซ่าให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี และปรับปรุงตกแต่งตึกแถวให้เรียบร้อยภายใน 3 เดือน จึงมีเหตุผลที่รับฟังได้ ครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่สร้างอาคารพลาซ่า ไม่ตกแต่งตึกแถวให้เรียบร้อย จำเลยที่ 1 จึงผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วเป็นผลให้คู่กรณีต้องกลับสู่ฐานะเดิม จำเลยที่ 1 ต้องคืนเงินค่าช่วยก่อสร้างทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เวลาที่ได้รับเงินไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน