แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การพิจารณาและสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์ พยานโจทก์ร่วมหรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร จะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และมาตรา 172 ทวิ คดีนี้ในวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวไม่มาศาล และทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีแล้ว ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยทั้งสองได้อีกต่อไปการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริง โจทก์แถลงหมดพยาน และโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจสืบพยานจึงเป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ และมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาบริษัทพีเอเอส ปิโตรเลียม จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 10,000 บาท รวม 12 กระทงเป็นเงิน 120,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 12 กระทง เป็นจำคุก 12 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษา
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่า การที่ศาลชั้นต้นให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริงตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.35 และ จ.36 และโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานพร้อมแถลงหมดพยาน กับโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจสืบพยาน โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและผู้แทนจำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 11 กันยายน 2543 และวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 11 กันยายน 2543 ซึ่งเป็นวันสืบพยานโจทก์ว่า โจทก์และทนายจำเลยทั้งสองมาศาล ส่วนโจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 ทราบนัดแล้วไม่มา ทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีอ้างเหตุจำเลยที่ 2 ป่วย โจทก์แถลงไม่ค้าน และได้ให้ทนายจำเลยทั้งสองดูบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.35 และ จ.36 หากทนายจำเลยทั้งสองรับข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าว โจทก์ไม่ติดใจสืบพยานและติดใจสืบเพียงเท่านี้ ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามเอกสารดังกล่าว และตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2543 ซึ่งเป็นวันสืบพยานโจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ร่วม ทนายโจทก์ร่วมและทนายจำเลยทั้งสองมาศาล ส่วนจำเลยที่ 2 ทราบนัดแล้วไม่มา ทนายโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดี เนื่องจากจำเลยที่ 2 ป่วยด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก เห็นว่า การพิจารณาและสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์ พยานโจทก์ร่วม หรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร จะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และมาตรา 172 ทวิ คดีนี้ในวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวไม่มาศาล และทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีแล้ว ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยทั้งสองได้อีกต่อไป การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อเท็จจริง โจทก์แถลงหมดพยาน และโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจสืบพยาน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ และมีผลทำให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกามา”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยทั้งสองแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี