คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 393/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีท โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ต่อโจทก์ และไม่ได้มีการค้ำประกันในหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ หนังสือสัญญารับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นเพียงการยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์และจะชำระหนี้ มิได้เป็นการยกเลิกหลักประกันหรือการค้ำประกัน หรือเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะมีผลให้หนี้เดิมระงับไป เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 16,890,416.17 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี ของต้นเงิน 9,694,917.20 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินต้นจำนวน 9,694,917.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระนับถึงวันที่ 7 มกราคม 2544 จำนวน 2,467,526.05 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบพยานหลักฐานฝ่ายเดียวว่า โจทก์โดยสาขาพลับพลาชัยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตให้แก่จำเลยที่ 1 ในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศตามคำขอ 2 ฉบับ และจ่ายเงินตามเลตเตอร์ออฟเครดิตแทนจำเลยที่ 1 ไปแล้ว และโจทก์ชำระเงินตามมูลค่าดังกล่าวทั้งสองฉบับแทนจำเลยที่ 1 แล้ว เมื่อสินค้าส่งมาถึงประเทศไทย จำเลยที่ 1 ยังไม่มีเงินชำระคืน จึงทำสัญญาทรัสต์รีซีท 2 ฉบับ สัญญาว่าจะชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์จึงมอบเอกสารการออกสินค้าให้ในวันทำคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและวันทำสัญญาทรัสต์รีซีท จำเลยที่ 2 ทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อหนี้ถึงกำหนดจำเลยที่ 1 จึงทำสัญญารับสภาพหนี้แก่โจทก์ว่า ตกลงแบ่งชำระหนี้ตามจำนวนที่โจทก์กำหนด
พิเคราะห์ ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีทตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คงมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 เดิมชื่อนายเทียม ตรีเมธสุนทร ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อและชื่อสกุลเป็นนายสุภกร ศรีวิศาลพรกุล จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีท โดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 แม้หนังสือสัญญารับสภาพนี้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำโดยจำเลยที่ 2 มิได้ลงชื่อด้วย แต่เป็นการยอมรับว่าเป็นหนี้ต่อโจทก์และจะชำระหนี้ให้ มิได้ทำสัญญายกเลิกหลักประกันและการค้ำประกัน และมิได้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ดังนั้นจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเดิมที่ได้กระทำไว้ต่อโจทก์ เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ เดิมจำเลยที่ 2 ชื่อนายเทียม ตรีเมธสุนทร เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นนายสุภกร และเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2545 ได้เปลี่ยนชื่อสกุลเป็นศรีวิศาลพรกุล ในปี 2540 ขณะที่ทำนิติกรรมกับโจทก์ใช้ชื่อว่า นายเทียม ตรีเมธสุนทร การลงชื่อในคำขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญาทรัสต์รีซีท จำเลยที่ 2 ลงชื่อในฐานะกรรมการจำเลยที่ 1 โดยเป็นลายเซ็นภาษาไทย ร่วมลงชื่อในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นอักษรภาษาจีน แต่ก็เป็นบุคคลเดียวกัน โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อเดือนกันยายน 2547 จำเลยที่ 2 ใช้ชื่อใหม่ในปัจจุบันตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ จำเลยที่ 2 ลงชื่อและประทับตราสำคัญบริษัทจำเลยที่ 1 โดยทำการแทนจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นอักษรภาษาจีน และไม่ได้มีการค้ำประกันในหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ หนังสือสัญญารับสภาพหนี้ดังกล่าวเป็นเพียงการยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์และจะชำระหนี้ มิได้เป็นการยกเลิกหลักประกันหรือการค้ำประกัน หรือเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันจะมีผลให้หนี้เดิมระงับไป เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share