คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8722/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะ จำเลยกับพวกอีก 2 คนว่าจ้างให้ขับไปส่งบริเวณเกษตร เมื่อไปถึงจำเลยกับพวกให้ผู้เสียหายหยุดรถ จำเลยกับพวกลงจากรถโดยไม่ชำระค่าโดยสารอ้างว่าผู้เสียหายโกงมิเตอร์ ผู้เสียหายจึงลงจากรถและตามจำเลยกับพวกไปเพื่อทวงค่าโดยสาร จำเลยหันกลับมาชักมีดปลายแหลมยาวประมาณ 5 นิ้วออกมาจี้หลังผู้เสียหายบังคับให้ผู้เสียหายเดินเข้าไป ในบ้านที่เกิดเหตุแล้วให้ผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในห้องในบ้าน จำเลยกับพวกเตะผู้เสียหายคนละ 1 ครั้ง กล่าวหาว่าผู้เสียหายเป็นสายลับให้เจ้าพนักงานตำรวจและพูดข่มขู่ให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีน จากนั้นบังคับให้ผู้เสียหายนั่งในลักษณะคู้ตัวไปข้างหน้า ขาเหยียดตรงแล้วจึงเอานาฬิกาข้อมือและเงินสด 880 บาท ไปจากผู้เสียหาย ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ถือได้ว่าจำเลยกับพวกเอาทรัพย์ไปโดยใช้กำลังประทุษร้าย จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 339 เมื่อจำเลยร่วมกระทำความผิดกับพวกอีก 2 คน โดยมีมีดเป็นอาวุธ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วยตามมาตรา 340 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2545 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงจำเลยและนายเอกราช พวงธรรมเจริญ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 360/2546 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้วกับพวกอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้หลังนายวิศาล จงตั้งปิติ ผู้เสียหาย บังคับให้ผู้เสียหายเดินเข้าไปในบ้านแล้วให้นั่งลงกับพื้น ทำท่าทางข่มขู่จะใช้อาวุธมีดแทง จะใช้ท่อนเหล็กตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย บังคับให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีนและบังคับให้นั่งอยู่นิ่งๆ อันเป็นการทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และจำเลยกับพวกดังกล่าวโดยมีอาวุธมีดปลายแหลมจำนวน 1 เล่ม และท่อนเหล็กจำนวน 1 ท่อน ติดตัวไปได้ร่วมกันปล้นทรัพย์เอกเงินสดจำนวน 880 บาท และนาฬิกาข้อมือ 1 เรือน ราคา 5,000 บาท ของผู้เสียหายไปโดยทุจริตโดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายเตะผู้เสียหาย และบังคับให้ผู้เสียหายคลานกับพื้น และขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายใช้อาวุธมีดแทงและใช้ท่อนเหล็กตีทำร้ายร่างกายหากผู้เสียหายขัดขืน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์และการพาเอาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น และยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 340, 83, 91, 92 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 5,880 บาท แก่ผู้เสียหาย และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำคุก 1 ปี และฐานลักทรัพย์ผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 3 ปี เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 5,880 บาท แก่ผู้เสียหายคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก, 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 ฐานปล้นทรัพย์ให้ลงโทษจำคุก 12 ปี รวมกับโทษจำคุก 1 ปี ในความผิดต่อเสรีภาพตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นจำคุก 13 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 17 ปี 4 เดือน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 8 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความจากการนำสืบพยานหลักฐานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2545 เวลา 24 นาฬิกา ขณะนายวิศาล จงตั้งปิติ ผู้เสียหายขับรถยนต์รับจ้างสาธารณะหมายเลขทะเบียน บค 8288 กรุงเทพมหานคร อยู่ที่บริเวณชุมชน 70 ไร่ พบจำเลยกับพวกอีก 2 คน เรียกให้ผู้เสียหายหยุดรถแล้วว่าจ้างให้ขับไปส่งบริเวณเกษตร เมื่อไปถึงจำเลยกับพวกให้ผู้เสียหายหยุดรถที่หน้าบ้านเกิดเหตุเลขที่ 24/150 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จำเลยกับพวกลงจากรถโดยไม่ชำระค่าโดยสารโดยอ้างว่าผู้เสียหายโกงมิเตอร์ ผู้เสียหายจึงลงจากรถและตามจำเลยกับพวกไปเพื่อทวงค่าโดยสารจำเลยหันกลับมาแล้วชักอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 5 นิ้ว จากกระเป๋ากางเกงออกมาจี้ที่หลังผู้เสียหายบังคับให้ผู้เสียหายเดินเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ แล้วให้ผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในห้องในบ้าน ระหว่างผู้เสียหายและจำเลยกับพวกพูดกัน จำเลยกับพวกเตะผู้เสียหายคนละ 1 ครั้ง จำเลยกับพวกกล่าวหาว่าผู้เสียหายเป็นสายลับให้เจ้าพนักงานตำรวจและพูดข่มขู่ผู้เสียหายแล้วบังคับให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีน 1 ใน 4 ของเม็ด จำเลยกับพวกข่มขู่ผู้เสียหายจนถึงเวลาเกือบ 4 นาฬิกา จากนั้นจำเลยกับพวกบังคับให้ผู้เสียหายนั่งในลักษณะคู้ตัวไปข้างหน้า ขาเหยียดตรงแล้วจำเลยเอานาฬิกาข้อมือและเงินสดจำนวน 880 บาท ไปจากผู้เสียหายและให้ผู้เสียหายคลานออกจากห้องดังกล่าวไปถึงบริเวณหน้าประตูบ้าน แล้วจึงให้ผู้เสียหายเดินไปที่รถโดยจำเลยกับพวกควบคุมไป
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธมีดติดตัวไปด้วยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นสำคัญว่าหากจำเลยกับพวกมีเจตนาปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแต่แรก จำเลยกับพวกย่อมกระทำในขณะที่ผู้เสียหายจอดรถส่งจำเลยกับพวกทันทีเพราะมีโอกาสและสามารถกระทำได้ แต่เหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์เกิดขึ้นภายหลังเนื่องจากจำเลยกับพวกไม่ยอมชำระค่าโดยสารและลงจากรถไป ผู้เสียหายติดตามไปทวงค่าโดยสาร จำเลยกับพวกจึงกระทำผิดคดีนี้นั้น เห็นว่า แม้เหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์คือการที่จำเลยกับพวกเอานาฬิกาข้อมือและเงินสดจำนวน 880 บาท ไปจากผู้เสียหายจะเกิดขึ้นภายหลังจากการที่จำเลยกับพวกลงจากรถโดยไม่ชำระค่าโดยสาร และผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดตามจำเลยกับพวกไปเพื่อทวงค่าโดยสารก็ตาม แต่ก็ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายต่อไปว่า เมื่อผู้เสียหายตามจำเลยกับพวกไปทวงค่าโดยสาร จำเลยได้หันกลับมาแล้วชักอาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 5 นิ้ว ออกมาจี้ที่หลังผู้เสียหายบังคับให้ผู้เสียหายและจำเลยกับพวกพูดกัน จำเลยกับพวกเตะผู้เสียหายคนละ 1 ครั้ง และกล่าวหาว่าผู้เสียหายเป็นสายลับให้เจ้าพนักงานตำรวจและพูดข่มขู่ผู้เสียหาย แล้วบังคับให้ผู้เสียหายเสพเมทแอมเฟตามีน 1 ใน 4 ของเม็ด จำเลยกับพวกข่มขู่ผู้เสียหายตั้งแต่เวลาประมาณ 24 นาฬิกา จนถึงเวลาเกือบ 4 นาฬิกา จากนั้นจึงร่วมกันบังคับให้ผู้เสียหายนั่งในลักษณะคู้ตัวไปข้างหน้า ขาเหยียดตรงแล้วจึงเอานาฬิกาข้อมือและเงินสดจำนวน 880 บาท ไปจากผู้เสียหายและให้ผู้เสียหายคลานออกจากห้องดังกล่าวไปย่อมเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าขณะที่จำเลยกับพวกลงมือกระทำความผิดด้วยการเอานาฬิกาข้อมือและเงินสดจำนวน 880 บาท ของผู้เสียหายไปนั้น ผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ถือได้ว่าจำเลยกับพวกเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว และการกระทำของจำเลยกับพวกที่ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายดังกล่าว จำเลยกับพวกได้กระทำเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไปและเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้นั่นเอง จึงเข้าเกณฑ์เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 เมื่อจำเลยร่วมกระทำความผิดกับพวกอีก 2 คน โดยมีมีดเป็นอาวุธ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง หาใช่มีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 335 (1) (7) ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share