คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6470/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ประกอบกิจการค้าขายเฟอร์นิเจอร์ ใช้ชื่อร้านว่า แสงชัยเฟอร์นิเจอร์ และจำเลยที่ 2 ได้สั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากโจทก์ในชื่อแสงชัยเฟอร์นิเจอร์ เมื่อจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ยังคงสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากโจทก์ในชื่อแสงชัยเฟอร์นิเจอร์ การที่โจทก์ส่งสินค้าตามที่จำเลยที่ 2 สั่งในชื่อแสงชัยเฟอร์นิเจอร์ก่อนที่จะจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 แล้วการซื้อสินค้าของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวก็อยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปถือเอาประโยชน์จากสินค้าที่โจทก์ส่งไปให้ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2540 ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2541 จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือน โต๊ะ ตู้ จากโจทก์รวม 72 รายการ เป็นเงิน 878,960.24 บาท เมื่อครบกำหนดชำระค่าสินค้า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) สาขานครราชสีมา จำนวน 13 ฉบับ รวมเป็นเงิน 485,203 บาท ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ประกฏว่าธนาคารตามเช็คทั้ง 13 ฉบับ ปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระ แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 485,203 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์ จำเลยที่ 2 รับว่าได้ลงลายมือชื่อในเช็ค 13 ฉบับ ตามฟ้องจริงแต่ลงลายมือชื่อในฐานะเจ้าของร้านแสงชัยเฟอร์นิเจอร์เพื่อชำระค่าสินค้าที่ร้านดังกล่าวซื้อสินค้าจากโจทก์ ต่อมาร้านดังกล่าวชำระค่าสินค้าแก่โจทก์แล้วแต่โจทก์มิได้คืนเช็คทั้ง 13 ฉบับให้ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหนี้ค่าสินค้าต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 485,203 บาท โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระเงินจำนวน 367,460.50 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นสามีภริยากัน ได้ร่วมกันประกอบธุรกิจขายเครื่องเฟอร์นิเจอร์โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “แสงชัยเฟอร์นิเจอร์” ต่อมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 1 ขึ้นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2541 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อปี 2540 ถึงปี 2541 จำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าเฟอร์นิเจอร์จากโจทก์หลายครั้ง รวม 72 รายการ คิดเป็นเงิน 912,960 บาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.10 จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจำนวน 13 ฉบับ รวมจำนวนเงิน 485,203 บาท เพื่อชำระค่าสินค้าที่เหลือให้แก่โจทก์ โดยเป็นค่าสินค้าก่อนที่จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 จำนวนเงิน 367,460.50 บาท เป็นหนี้ภายหลังจากจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 แล้ว จำนวนเงิน 117,742.50 บาท เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ปรากฏตามเช็คและใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.11 ถึง จ.23 โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ตามเช็ค จำเลยทั้งสามไม่ชำระ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายภิรมย์ มาพะเนาว์ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า จำเลยทั้งสามยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าสินค้าตามที่ได้สั่งจ่ายเช็คไว้ โดยมีเช็คที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเป็นเอกสารประกอบคำเบิกความ ส่วนจำเลยที่ 2 นำสืบตามที่ฎีกาว่าชำระหนี้ตามเช็คทั้งหมดแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้คืนเช็คให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 นั้นเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะยืนยันตามที่จำเลยที่ 2 นำสืบ ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 จึงขาดเหตุผล ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามเช็คแก่โจทก์ ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยใช้ชื่อว่า “แสงชัยเฟอร์นิเจอร์” เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2541 ปรากฏตามหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลเอกสารหมาย จ.3 ก่อนจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ประกอบกิจการค้าขายเฟอร์นิเจอร์ใช้ชื่อร้านว่า แสงชัยเฟอร์นิเจอร์และจำเลยที่ 2 ได้สั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากโจทก์ในชื่อแสงชัยเฟอร์นิเจอร์ เป็นจำนวนเงิน 367,460.50 บาท ตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.8 เมื่อจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ยังคงสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากโจทก์ในชื่อ แสงชัยเฟอร์นิเจอร์ อีกเป็นจำนวนเงิน 117,742.50 บาท ตามเอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.10 เห็นว่า การที่โจทก์ส่งสินค้าตามที่จำเลยที่ 2 สั่งในชื่อแสงชัยเฟอร์นิเจอร์ก่อนที่จะจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 แต่เมื่อจดทะเบียนเป็นจำเลยที่ 1 แล้วการซื้อสินค้าของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวก็อยู่ภายในขอบวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ได้เข้าไปถือเอาประโยชน์จากสินค้าที่โจทก์ส่งไปให้ดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ที่จำเลยที่ 2 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share