คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

บริษัทจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลของรอบปีบัญชี 2539 จำนวน 18,779 บาท ซึ่งต่ำกว่าการประเมินของพนักงานโจทก์ถึง 8,000,000 บาทเศษ จำเลยที่ 1 ต้องชำระภาษีเพิ่มเติมไม่รวมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงิน 2,817,028.21 บาท เมื่อโจทก์มีหมายเรียกให้จำเลยที่ 1 ไปให้ถ้อยคำเพื่อการไต่สวนตรวจสอบจำเลยที่ 1 จึงต้องทราบแล้วว่าเจ้าพนักงานจะต้องประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 ใหม่ และจำเลยที่ 1 ต้องมีหนี้ค่าภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มเติมต่อโจทก์ แม้หนี้ดังกล่าวจะยังไม่ทราบจำนวนแน่นอนจากการประเมินของเจ้าพนักงาน การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินแก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงให้ที่ดินดังกล่าวพ้นจากการถูกยึดบังคับชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่โจทก์อันเป็นการกระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ และจำเลยที่ 2 ได้ทราบถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองได้
กรมสรรพากรโจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือฟ้องคดีแทนโจทก์คืออธิบดี พนักงานเจ้าหน้าที่อื่นของโจทก์ทุกระดับแม้จะมีหน้าที่ปฏิบัติงานให้แก่โจทก์แต่ก็ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ เมื่อนิติกรของโจทก์ได้ทำบันทึกข้อความเสนอให้อธิบดีโจทก์ทราบเรื่องการโอนที่ดินเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2540 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลระหว่างจำเลยทั้งสองในวันที่ 17 มีนาคม 2540 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ยังไม่พ้น 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์รู้มูลเหตุให้เพิกถอน จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาลสังกัดกระทรวงการคลัง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีอากรประเภทต่างๆ ตามประมวลรัษฎากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เดิมใช้ชื่อ บริษัทคลองจั่นวิลล่า จำกัด ขณะยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการค้า ซื้อขาย จัดสรรที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคลและหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน แล้วนำส่งให้ถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์มีเหตุอันสมควรเชื่อว่าจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 ไว้ไม่ถูกต้อง โดยจำเลยที่ 1 จ่ายเงินได้พึงประเมินโดยมิได้หักภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งให้ครบถ้วน วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2532 จำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกของโจทก์ให้นำบัญชีที่ค้างจัดทำกับเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีไปส่งมอบให้เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์เพื่อตรวจสอบ จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้ผู้มีชื่อมาให้ถ้อยคำชี้แจงและส่งมอบบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีให้เจ้าพนักงาน เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ตรวจสอบไต่สวนการเสียภาษีของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ต้องชำระภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,939,980.38 บาท (ยังไม่รวมเงินที่เพิ่มตามกฎหมาย) จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินของโจทก์เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2536 จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินและยังเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ภาษีอากรจึงตกเป็นหนี้ภาษีอากรค้างชำระแก่โจทก์และเป็นหนี้อันเด็ดขาดตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2533 จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 172515 และ 176472 ถึง 176476 รวม 6 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 2,990,000 บาท แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ทราบความจริงดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีอากรและชำระภาษีอากรไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริง จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระภาษีอากรการค้าให้ถูกต้อง แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์มีอำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร มีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระหนี้ภาษีอากรค้างให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินรวม 6 แปลง อันเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำโดยฉ้อฉล อันจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เจ้าหนี้ภาษีอากรค้างเสียเปรียบ จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์จะพึงยึดมาชำระหนี้ภาษีอากรค้างได้อีก ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและรายการจดทะเบียนโอนและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 172515 และ 176472 ถึง 176476 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้โอน กับจำเลยที่ 2 ผู้รับโอน ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินรวม 6 แปลง ซึ่งได้ทำขึ้นไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2533 และตามสารบัญจดทะเบียนในโฉนดที่ดินที่ซื้อขายทั้ง 6 ฉบับ ระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ โดยจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เด็ดขาดวันที่ 18 มิถุนายน 2539 และโจทก์ทราบการซื้อขายที่ดินเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2538 แต่โจทก์เพิ่งมาฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวเพื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้เห็นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉล ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 172515, 176472, 176473, 176474 176475 และ 176476 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้โอน กับจำเลยที่ 2 ผู้รับโอน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมจำเลยที่ 1 ชื่อบริษัทคลองจั่นวิลล่า จำกัด ในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีต่อโจทก์ไว้แล้ว จำเลยที่ 2 ออกจากการเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2531 ต่อมาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2532 โจทก์ออกหมายเรียกให้จำเลยที่ 1 ไปให้ถ้อยคำชี้แจงและนำบัญชีพร้อมทั้งเอกสารหลักฐานส่งมอบแก่โจทก์เพื่อตรวจสอบการเสียภาษีของจำเลยที่ 1 และโจทก์ตรวจพบว่าจำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 ไม่ถูกต้อง โจทก์ประเมินให้จำเลยที่ 1 ต้องชำระภาษีการค้า ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย รวมเบี้ยปรับซึ่งยังไม่รวมเงินเพิ่มตามกฎหมายเป็นเงิน 9,939,980.38 บาท จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแจ้งการประเมินของโจทก์เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2536 จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินและไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2533 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 172515 และ 176472 ถึง 176476 แขวงคลองกุ่ม เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 2,990,000 บาท โดยที่ดินทั้ง 6 แปลง ดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบึงกุ่ม ประเมินราคารวมเป็นเงิน 7,960,000 บาท มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่าจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินทั้ง 6 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่ และจำเลยที่ 2 ได้รู้เท่าถึงข้อความจริงดังกล่าวหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า ในขณะที่จำเลยทั้งสองทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินนั้น จำเลยทั้งสองยังไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค้างชำระค่าภาษีอากรต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ทราบถึงการประเมินภาษีอากรจากเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงจะถือว่าจำเลยทั้งสองกระทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่ได้ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2530 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลของรอบบัญชีปี 2529 ตามเอกสารหมาย จ.7 ระบุว่าจำเลยที่ 1 ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเงินจำนวน 18,779 บาท แต่ปรากฏตามการประเมินของเจ้าพนักงานของโจทก์ภายหลังตรวจสอบว่าจำเลยที่ 1 ยื่นแสดงรายได้สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2529 ต่ำไปถึง 8,000,000 บาทเศษ จำเลยที่ 1 ต้องชำระภาษีเพิ่มเติมไม่รวมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นเงินจำนวน 2,817,028.21 บาท ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลเอกสารหมาย จ.11 จำนวนเงินได้และเงินค่าภาษีที่แตกต่างกันมากเช่นนี้ ย่อมชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ต่ำกว่าเป็นจริงโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงการชำระภาษีให้ถูกต้อง เมื่อโจทก์มีหมายเรียกตามประมวลรัษฎากรวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2532 ตามเอกสารหมาย จ.8 ให้จำเลยที่ 1 ไปให้ถ้อยคำพร้อมส่งมอบบัญชีและเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อการไต่สวนตรวจสอบ จำเลยที่ 1 จึงต้องทราบแล้วว่าเจ้าพนักงานจะต้องประเมินภาษีของจำเลยที่ 1 ที่ยื่นไว้ไม่ถูกต้องใหม่ และจำเลยที่ 1 ต้องมีหนี้ค่าภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มเติมต่อโจทก์ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินจำนวน 6 แปลง แก่จำเลยที่ 2 ในวันที่ 13 มิถุนายน 2533 อันเป็นเวลาภายหลังจากทราบว่ามีหนี้ค่าภาษีอากรที่จะต้องถูกประเมินใหม่ชำระเพิ่มเติมต่อโจทก์ แม้หนี้ดังกล่าวจะยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนจากการประเมินของเจ้าพนักงาน ก็ชี้ให้เห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงให้ที่ดินดังกล่าวพ้นจากการถูกยึดบังคับชำระหนี้ค่าภาษีอากรแก่โจทก์อันเป็นการกระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ และเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีให้จำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบอยู่ว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้ค่าภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มเติมต่อโจทก์ แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 จะออกจากการเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 แล้ว แต่การที่จำเลยที่ 2 ได้ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกตรวจสอบภาษีจากโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ขายที่ดินรวม 6 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคาเพียง 2,990,000 บาท ทั้ง ๆ ที่ที่ดิน 6 แปลงดังกล่าวเจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาไว้เป็นเงินรวม 7,960,000 บาท ย่อมชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย สำหรับที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 6 แปลง โดยเสียค่าตอบแทน กับฎีกาที่ว่า ในขณะระหว่างที่มีการประเมินภาษีของโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินอื่นรวมมูลค่าถึง 10,000,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองได้นั้น ล้วนมิใช่ประเด็นข้อพิพาทที่ได้กำหนดไว้ในการชี้สองสถาน จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ปัญหานี้จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากที่เป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ต่างเบิกความสรุปได้ว่าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สรรพากรต้องถือว่ากระทำการแทนกรมสรรพากรโจทก์ เมื่อสำนักงานสรรพากรกรุงเทพมหานครมีหนังสือลงวันที่ 25 มีนาคม 2539 ไปถึงกรมสรรพากรเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลยตามเอกสารหมาย จ.16 และเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบึงกุ่ม มีหนังสือลงวันที่ 19 ธันวาคม 2538 แจ้งต่อกรมสรรพกรว่าจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทคดีนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.24 จึงต้องถือว่ากรมสรรพากรโจทก์รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2538 หรืออย่างช้าไม่เกินวันที่ 25 มีนาคม 2539 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ซึ่งพ้นกำหนด 1 ปี แล้ว เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล ผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือฟ้องคดีแทนโจทก์คืออธิบดี พนักงานเจ้าหน้าที่อื่นของโจทก์ทุกระดับแม้จะมีหน้าที่ปฏิบัติงานให้แก่โจทก์แต่ก็ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์หรือฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายศรีณรงค์ แกล้วทะนงค์ นิติกร 5 ของโจทก์ได้ทำบันทึกข้อความลงวันที่ 13 มีนาคม 2540 ตามเอกสารหมาย จ.16 เสนอให้อธิบดีโจทก์ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงเรื่องการโอนที่ดินอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2540 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองในวันที่ 17 มีนาคม 2540 จึงถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ถึงการฉ้อฉลการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองในวันที่ 17 มีนาคม 2540 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ยังไม่พ้น 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์รู้มูลเหตุให้เพิกถอน คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนโจทก์

Share