คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2451/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องและจำเลยได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยกับผู้ร้องก่อนที่จะมีการบังคับคดีข้อตกลงดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยและผู้ร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยมีสิทธิในที่ดินดังกล่าว ไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องมาขายทอดตลาดได้ ถือได้ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอื่น ๆ อันอาจร้องขอให้บังคับเหนือที่ดินนั้นได้ตามกฎหมายย่อมมีสิทธิขอให้กันที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครองก่อนนำที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขายตลาดได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 525,937.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 450,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9359 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9359 รวมกับจำเลยโดยผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์หนึ่งในสามส่วนและได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด โดยผู้ร้องปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางทิศตะวันตก ขอให้กันที่ดินส่วนของผู้ร้องก่อนออกขายทอดตลาดหนึ่งในสาม
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันที่ดินส่วนของผู้ร้องก่อนออกขายทอดตลาดเนื่องจากเจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องตามส่วนอยู่แล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กันที่ดินส่วนของผู้ร้องตามโฉนดเลขที่ 9359 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออก 1 ใน 3 ส่วน โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 9359 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ที่โจทก์นำยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา เป็นที่ดินที่จำเลยและผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์รวมกัน โดยจำเลยถือกรรมสิทธิ์ 2 ใน 3 ส่วน ผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ 1 ใน 3 ส่วน ผู้ร้องและจำเลยได้แบ่งแยกการครอบครองที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนสัด ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอให้กันที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครองก่อนนำที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขายทอดตลาดหรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ร้องและจำเลยได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำเลยกับผู้ร้องก่อนที่จะมีการบังคับคดีแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยและผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 โจทก์ซึ่งเป็นเพียงเจ้าหนี้สามัญจึงมีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยมีสิทธิในที่ดินดังกล่าว ไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องมาขายทอดตลาดได้ ถือได้ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิอื่น ๆ อันอาจร้องขอให้บังคับเหนือที่ดินนั้นได้ตามกฎหมายซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอให้กันที่ดินส่วนที่ผู้ร้องครอบครองก่อนนำที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขายตลาดได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในชั้นขอกันส่วนโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนั้นไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นขอกันส่วนในศาลชั้นต้นและชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share