คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีความผิดต่อส่วนตัว ในวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายและผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยต่อไป ศาลชั้นต้นหมายเรียกผู้เสียหายมาสอบถามหากไม่มาถือว่าผู้เสียหายยอมรับความจริงตามที่ทนายจำเลยแถลง ผู้เสียหายได้รับหมายแล้วไม่มาศาล จึงถือว่าผู้เสียหายกับจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยจริง ถือว่าได้มีการทำยอมโดยถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 91 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 104,015 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 (ที่ถูก มาตรา 352 วรรคแรก) เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 104,015 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเสียก่อนว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปแล้วหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า หนี้ตามฟ้องคดีนี้จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายแล้วที่ศาลแรงงานภาค 3 และผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยอีกต่อไปปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งเป็นเอกสารท้ายฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่า ในวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทนายจำเลยแถลงว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายแล้วและได้ยื่นเอกสารฉบับนี้ต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายเรียกผู้เสียหายมาสอบถาม หากไม่มาจะถือว่าผู้เสียหายยอมรับตามที่ทนายจำเลยแถลงปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 19 ธันวาคม 2548 แต่ผู้เสียหายได้รับหมายแล้วไม่มาศาล จึงต้องถือว่าผู้เสียหายกับจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานภาค 3 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 จริง จึงถือได้ว่าเป็นการยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น สำหรับฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share