คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4857/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาที่โจทก์รับซ่อมรถยนต์ของจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1)
โจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์ที่ซ่อมเสร็จให้แก่ผู้ที่นำรถยนต์มาซ่อมแล้ว โจทก์จึงอาจบังคับตามสิทธิของตนในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระสินจ้างได้นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบรถยนต์แต่ละคันให้แก่ผู้ที่นำมาซ่อม การที่จำเลยนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน จึงเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15
โจทก์นำหนี้จำนวน 41 รายการ รวมเป็นเงิน 402,197 บาท ซึ่งโจทก์สามารถบังคับตามสิทธิของตนได้ตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 พฤษภาคม 2541 มาฟ้องในวันที่ 19 มิถุนายน 2543 ซึ่งเกินกว่า 2 ปี แล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ ส่วนหนี้ค่าซ่อมรถอีก 11 รายการ จำนวน 47,500 บาท ปรากฏว่าในวันที่ 8 พฤษภาคม 2543 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยชำระหนี้บางส่วน หนี้ค่าซ่อมรถทั้ง 11 รายการ ยังไม่ขาดอายุความ อายุความสำหรับหนี้ดังกล่าวจึงต้องเริ่มนับใหม่ และเมื่อคำนวณถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์ในส่วน 11 รายการนี้ จึงยังไม่ขาดอายุความ
การรับสภาพหนี้อันจะเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจะต้องกระทำก่อนที่หนี้ขาดอายุความ เมื่อหนี้ค่าซ่อมรถจำนวน 402,197 บาท ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 พฤษภาคม 2541 การชำระหนี้บางส่วนของจำเลยในวันดังกล่าวจึงไม่มีผลให้อายุความสะดุดหยุดลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยทุกประเภทจำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ซ่อมแซมรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากวินาศภัยให้แก่ลูกค้าหรือบุคคลที่จำเลยต้องรับผิดซ่อมแซมให้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2533 โจทก์เข้าเป็นอู่ในเครือของจำเลย โดยโจทก์มีหน้าที่ในการซ่อมแซมรถยนต์ของลูกค้าที่จำเลยรับประกันวินาศภัยไว้ ภายหลังทำสัญญาจำเลยจัดส่งรถยนต์ให้โจทก์ทำการซ่อมแซมหลายครั้ง หลายรายการ โจทก์ได้ซ่อมแซมจนสำเร็จทุกรายการ จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2543 จำนวน 198,280.36 บาท ยังคงค้างชำระเป็นเงิน 2,997,784 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,997,784 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีเรียกค่าจ้างซ่อมเกิน 2 ปีแล้วคดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจซ่อมรถยนต์และมีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,997,784 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 มิถุนายน 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 1,500 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนหนี้ค่าซ่อมรถยนต์จำนวน 449,697 บาท ขาดอายุความ 2 ปี แล้วหรือไม่ ซึ่งจำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์ซ่อมรถยนต์แต่ละคันแล้วเสร็จ โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าซ่อมรถยนต์จากจำเลยได้ทันที และหากจำเลยไม่ชำระค่าซ่อมให้ตามที่โจทก์ส่งเอกสารไปเรียกเก็บ โจทก์ก็จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเสียภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ได้ส่งเอกสารไปเรียกเก็บค่าซ่อมจากจำเลย การที่โจทก์ไม่ฟ้องเรียกค่าซ่อมรถยนต์จำนวน 49 คัน คิดเป็นเงิน 449,704 บาท (ที่ถูก 449,697 บาท) ภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ได้ส่งเอกสารไปเรียกเก็บหรือตั้งเบิก คดีโจทก์สำหรับค่าซ่อมรถยนต์จำนวน 49 คันดังกล่าว จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า สัญญาที่โจทก์รับซ่อมรถยนต์ตามคำสั่งของจำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่งสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจ้างทำของนั้นมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) ส่วนการเริ่มนับอายุความในการเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าซ่อมมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/12 ว่า “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป” และมาตรา 602 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ” เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถยนต์ตามคำสั่งของจำเลย และได้ส่งมอบรถยนต์ที่ซ่อมเสร็จให้แก่ผู้ที่นำรถยนต์มาซ่อมแล้ว โจทก์จึงอาจที่จะบังคับตามสิทธิของตนในอันที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระสินจ้างได้นับตั้งแต่วันที่ส่งมอบรถยนต์แต่ละคันให้แก่ผู้ที่นำมาซ่อม ต่อมาจำเลยนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนจำนวน 198,280.36 บาท เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2543 อันถือเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193,14 (1) และมาตรา 193/15 แต่ที่โจทก์นำหนี้ตามที่ปรากฏในใบรายการความเสียหายหรือใบเคลมเอกสารหมาย จ.3/1 และ จ.4 จำนวน 41 รายการ รวมเป็นเงิน 402,197 บาท ซึ่งข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์สามารถบังคับตามสิทธิของตนได้ตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 พฤษภาคม 2541 มาฟ้องเป็นคดีนี้ในวันที่ 19 มิถุนายน 2543 ซึ่งเกินกว่า 2 ปี แล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้จำนวน 402,197 บาท จึงขาดอายุความส่วนหนี้ค่าซ่อมรถอีก 11 รายการ จำนวน 47,500 บาท ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าขาดอายุความด้วยนั้น ปรากฏว่าในวันที่ 8 พฤษภาคม 2543 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยชำระหนี้บางส่วนอันทำให้อายุความสะดุดหยุดลง หนี้ค่าซ่อมรถทั้ง 11 รายการ ยังไม่ขาดอายุความ อายุความสำหรับหนี้ดังกล่าวจึงต้องเริ่มนับใหม่ และเมื่อคำนวณถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์ในส่วนนี้ 11 รายการ จึงยังไม่ขาดอายุความ สำหรับที่โจทก์นำสืบอ้างว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์ ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2543 เป็นการรับสภาพหนี้ อันเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้น เห็นว่า การรับสภาพหนี้อันจะเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นจะต้องกระทำก่อนที่หนี้ขาดอายุความ เมื่อปรากฏว่าหนี้ค่าซ่อมรถจำนวน 402,197 บาท ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่ 8 พฤษภาคม 2541 การชำระหนี้บางส่วนของจำเลยในวันดังกล่าวจึงไม่มีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์มีเพียง 449,704 บาท และชั้นฎีกาเพียง 449,697 บาท ที่จำเลยชำระค่าขึ้นศาลและค่าขึ้นศาลอนาคตชั้นอุทธรณ์จำนวน 75,045 บาท และชั้นฎีกาจำนวน 74,945 บาท เป็นการชำระที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดจึงให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินแก่จำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,595,587 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาส่วนที่เกินแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share