คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยข้อหามียาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบไว้ในครอบครองเกินกว่าห้าร้อยกรัมฯ และเพื่อจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาสูบฯ มาตรา 19 วรรคหนึ่ง, 24 วรรคหนึ่ง, 49, 50 จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโดยไม่สืบพยาน เนื่องจากคดีมีโทษปรับสถานเดียวตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาสูบฯ ดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 ทวิ ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่อาจแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 215
ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ตามฟ้องมิใช่เรื่องอันเกี่ยวแก่ศุลกากร จึงมิอาจปรับบทมาตรา 120 ของ พ.ร.บ.ศุลกากรฯ ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 4, 19, 24, 44, 49, 50 และริบบุหรี่ซิกาแรตของกลางเป็นของกรมสรรพสามิต
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง, 24 วรรคหนึ่ง, 49, 50 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาสูบที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับเป็นเงิน 1,626,187.50 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 813,093.75 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลา 2 ปี ริบบุหรี่ซิกาแรตของกลางเป็นของกรมสรรพสามิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 27 ทวิ เป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยข้อหามียาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบไว้ในครอบครองเกินกว่าห้าร้อยกรัมโดยจำเลยมิได้เป็นผู้ประกอบอุตสาหกรรมยาสูบ และข้อหามีไว้เพื่อขายซึ่งยาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ.2509 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง, 24 วรรคหนึ่ง, 49, 50 จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงรับฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องโดยไม่สืบพยานหลักฐาน เนื่องจากคดีมีโทษปรับสถานเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาสูบดังกล่าวตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 27 ทวิ ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่อาจแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 215 กรณีหาใช่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดหรือความผิดตามฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเองดังที่จำเลยฎีกาไม่ นอกจากนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องมิใช่เรื่องอันเกี่ยวแก่ศุลกากร จึงมิอาจปรับบทมาตรา 120 ของพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share