คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7924/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเป็นหนี้ที่เกิดจากจำเลยค้างชำระหนี้ค่าเช่าซื้อต่อผู้ร้อง ส่วนการที่ผู้ร้องยึดรถบรรทุกจากจำเลยเป็นการที่ผู้ร้องใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของผู้ใช้เช่าซื้อยึดทรัพย์สินจากจำเลยในกรณีจำเลยผิดสัญญา ซึ่งถือว่าเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นหนี้ที่ผู้ร้องฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่จำเลยค้างชำระก่อนเลิกสัญญา ส่วนการที่ผู้ร้องยึดรถบรรทุกกลับคืนมาแล้วนำออกจำหน่ายหากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวต่อไปในระหว่างผู้ร้องกับจำเลยเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเลิกสัญญา หนี้ทั้งสองกรณีดังกล่าวจึงเป็นหนี้คนละส่วนกัน ไม่อาจนำมาหักกลบลบหนี้กันได้ เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลย ผู้ร้องจึงมีสิทธิเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 62142 ตำบลห้วยไผ่ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย ในคดีหมายเลขแดงที่ 1863/2541 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาตามยอมให้จำเลยและนางอังคณา ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ ภรรยาของจำเลยร่วมกันชำระเงิน 4,184,625 บาท โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนแก่ผู้ร้อง แต่จำเลยและนางอังคณาไม่ชำระ ผู้ร้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลย 1 รายการ ราคาประมาณ 30,000 บาท นอกจากทรัพย์สินที่โจทก์นำยึด ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นใดของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
จำเลยยื่นคำคัดค้านว่า หนี้ตามคำพิพากษาระหว่างผู้ร้องกับจำเลยและนางอังคณามีมูลหนี้มาจากจำเลยและนางอังคณาทำสัญญาเช่าซื้อรถบรรทุก 10 คัน จากผู้ร้อง เมื่อผิดนัดหลังจากศาลพิพากษาตามยอม ผู้ร้องยึดรถบรรทุกกลับคืนไป 5 คัน รวมราคาประมาณ 5,000,000 บาท เกินกว่ายอดหนี้ที่ต้องชำระตามคำพิพากษา ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ที่โจทก์นำยึด ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเดิมห้างหุ้นส่วนจำกัดจอมบึงพัฒนกิจและห้างหุ้นส่วนจำกัดราชบุรีวิบูลย์พาณิชย์ซึ่งมีจำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและนางอังคณา ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ เป็นหุ้นส่วน ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถบรรทุก 10 คัน ไปจากผู้ร้อง ตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.2 ถึง ร.11 โดยจำเลยและนางอังคณาร่วมกันสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ ต่อมาผู้ร้องเรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้ ผู้ร้องจึงฟ้องจำเลยและนางอังคณาให้ร่วมกันชำระเงินตามเช็ค 13 ฉบับ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้ร้องยึดรถบรรทุก 3 คัน กลับคืนจากผู้เช่าซื้อ และในคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยและนางอังคณาร่วมกันชำระเงิน 4,184,625 บาท ต่อผู้ร้องโดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า 200,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 15 พฤศจิกายน 2542 ตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ร.18 ก่อนถึงกำหนดผ่อนชำระงวดแรก ผู้ร้องยึดรถบรรทุกอีก 5 คัน กลับคืนมาจากผู้เช่าซื้อ รวมเป็น 8 คัน ตามบันทึกรับรถเอกสารหมาย จ.15 ผู้ร้องนำรถบรรทุกที่ยึดมาออกขาย 4 คัน ราคาคันละ 490,000 บาท 3 คัน คันที่ 4 ราคา 500,000 บาท และให้เช่าซื้อ 3 คัน ราคาคันละ 1,035,200 บาท 2 คัน อีกคันหนึ่งราคา 988,000 บาท ตามสำเนาใบกำกับภาษี สำเนาใบเสร็จรับเงิน และสำเนาสัญญาเช่าซื้อ เอกสารหมาย ร.40 ถึง ร.46 ส่วนรถบรรทุกคันที่ 8 ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ จำเลยและนางอังคณาผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม ผู้ร้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย 1 รายการ ราคาประมาณ 30,000 บาท นอกจากที่ดินที่โจทก์ยึดแล้วผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ได้หรือไม่ ผู้ร้องนำสืบว่า เงินที่ได้จากการจำหน่ายรถบรรทุกที่ยึดมาไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยนำสืบว่า รถบรรทุกที่ผู้ร้องยึดกลับคืนไปมีราคาคันละ 1,000,000 บาท เกินกว่ายอดหนี้ตามคำพิพากษา เห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยและนางอังคณาเป็นหนี้ที่เกิดจากจำเลยและนางอังคณาค้างชำระหนี้ค่าเช่าซื้อต่อผู้ร้อง ส่วนการที่ผู้ร้องยึดรถบรรทุกจากผู้เช่าซื้อเป็นการที่ผู้ร้องใช้สิทธิในฐานะเป็นเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อยึดทรัพย์สินจากผู้เช่าซื้อในกรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญา ซึ่งถือว่าเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมจึงเป็นหนี้ที่ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระก่อนเลิกสัญญา ส่วนการที่ผู้ร้องยึดรถบรรทุกกลับคืนมาแล้วนำออกจำหน่าย หากมีความเสียหายเกิดขึ้นหรือไม่เพียงใดก็เป็นเรื่องที่จะว่ากล่าวกันต่อไปในระหว่างผู้ร้องกับผู้เช่าซื้อเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเลิกสัญญา หนี้ทั้งสองกรณีดังกล่าวจึงเป็นหนี้คนละส่วนกัน ไม่อาจนำมาหักกลบลบหนี้กันได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลย ผู้ร้องจึงมีสิทธิเข้าเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้น นั้น ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนผู้ร้อง ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นศาลชั้นต้นให้เป็นพับ.

Share